
วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2552
SudoKu

http://www.brandsworld.co.th/main.aspx?sid=674
http://www.thaicrossword.com/appform_BSudoku09/main.php
เพื่อนๆใครว่างมั้งอ่ะ...สมัครไว้แล้วแต่ไม่มีเพื่อนไปอ่ะ (สมัครรุ่นสมัครเล่นไว้)
วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552
คิดหัวข้อโปรเจค
วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552
Job Service Work Flow System
ปัจจุบันในองค์กรต่างๆที่ดำเนินการด้านธุรกิจต่างๆ จะอาศัยระบบ สารสนเทศเข้ามาช่วยทำให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำเอาสารสนเทศเข้ามาใช้งานองค์กร เช่น ระบบ Network ภายในองค์กร เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่อง printer โปรแกรมประยุกต์ โปรแกรมช่วยในการตัดสินใจด้านต่างๆ หรือ เว็บไซต์ขององค์กรเป็นต้น
ปัจจุบันในองค์กรต่างๆที่ดำเนินการด้านธุรกิจต่างๆ จะอาศัยระบบ สารสนเทศเข้ามาช่วยทำให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำเอาสารสนเทศเข้ามาใช้งานองค์กร เช่น ระบบ Network ภายในองค์กร เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่อง printer โปรแกรมประยุกต์ โปรแกรมช่วยในการตัดสินใจด้านต่างๆ หรือ เว็บไซต์ขององค์กรเป็นต้น
ปัจจุบันในองค์กรต่างๆที่ดำเนินการด้านธุรกิจต่างๆ จะอาศัยระบบ สารสนเทศเข้ามาช่วยทำให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำเอาสารสนเทศเข้ามาใช้งานองค์กร เช่น ระบบ Network ภายในองค์กร เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่อง printer โปรแกรมประยุกต์ โปรแกรมช่วยในการตัดสินใจด้านต่างๆ หรือ เว็บไซต์ขององค์กรเป็นต้น
วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
Build to Success….
ExSys Co., Ltd. เป็นบริษัทที่มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในด้านการให้คำปรึกษา นำเสนอทางเลือกของซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศด้ วย ขั้น ตอ นก า ร ว า ง ร ะบ บที่ มีประสิทธิภาพ โดยทีมงานมืออาชีพตรวจสอบได้ทุกขั้นตอนรวมถึงบริการหลังการขายที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับธุรกิจ ว่าสามารถใช้งานจากอฟแวร์ได้อย่างคุ้มค่า และ เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเน้นการวางระบบให้อยู่บนพื้นฐานการทำ งานตามลักษณะเฉพาะของแต่ละประเภทธุรกิจ และง่ายต่อการใช้งานของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ
ลักษณะการพัฒนาระบบของบริษัท

จากนโยบายของบริษัทจะเห็นได้ว่า บริษัทมีแนวทางการพัฒนาระบบแบบ Waterfall และ Adapted Waterfall ซึ่งในแต่ละขั้นตอนนั้นสามารถนำมาแก้ไขข้อผิดพลาดหรือสามารถย้อนกลับได้ตามส่วนได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญว่าต้องการระบบงานแบบไหน
ลักษณะการพัฒนาระบบ จะมีการแบ่งงานออกเป็น Phases โดยยึดหลักการพัฒนาแบบ SDLC แบ่งออกเป็น Phases ประกอบดัวยดังนี้
- Planning Phase
- Analysis Phase
- Design Phase
- Implement Phase
เริ่มต้นการวางแผนงานให้กับระบบก่อน ว่าแต่ละขั้นตอนจะใช้เวลา ผู้พัฒนา พร้อมทั้งต้นทุนในการพัฒนาอย่างไร และกำหนดเวลาในการส่งมอบงานให้กลับลูกค้าแต่ละ Phases เป็นอย่างไร หลังจากนั้ก็เริ่มการทำงานใน Phase การวิเคราะห์โดยเริ่มจากการเก็บ Requirement ของลูกค้า แล้วนำกลับมาวิเคราะห์และออกแบบตามความต้องการของลูกค้า เมื่อมีการวิเคราะห์และออกแบบในส่วนของ Requirements เรียบร้อยแล้วจะนำกลับไปนำเสนอลูกค้า ถ้าเกิดไม่มีปัญหา หรือ ตรงตามความต้องการของลูกค้าแล้วก็จะมีการเซ็นสัญญายอมรับงานในส่วนนั้น กรณีที่ไม่ตรงตามความต้องการของลูกค้าก็นำกลับมาแก้ไขใหม่แล้วนำกลับไปเสนอลูกค้าใหม่อีกที เมื่อลูกค้ามีการเซ็นสัญญาในส่วนงานนั้นแล้ว ถ้าหากต้องการแก้ไขก็จะมีการคิดค่าใช้จ่ายใหม่ หรือ อาจจะมีการตกลงกันอีกที จะมีการพัฒนาใน Phases ตามขั้นตอนต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีพัฒนาสำเร็จ พร้อมทั้งติดตั้งระบบและ Training จนเสร็จเรียบร้อย
ทั้งนี้การพัฒนาระบบของบริษัทฯ ก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นแบบ Waterfall และ Adapted Waterfall เสมอไป การพัฒนาระบบจะขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญและ Business Rule ของธุรกิจและความต้องการทางธุรกิจ
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้บริการด้านซอฟท์แวร์ อื่น เพื่อรองรับการทำงานของลูกค้าให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นด้วย Add on Package อาทิ Point of Sale (POS), Barcode, RFID
ลักษณะการพัฒนาระบบของบริษัท
จากนโยบายของบริษัทจะเห็นได้ว่า บริษัทมีแนวทางการพัฒนาระบบแบบ Waterfall และ Adapted Waterfall ซึ่งในแต่ละขั้นตอนนั้นสามารถนำมาแก้ไขข้อผิดพลาดหรือสามารถย้อนกลับได้ตามส่วนได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญว่าต้องการระบบงานแบบไหน
ลักษณะการพัฒนาระบบ จะมีการแบ่งงานออกเป็น Phases โดยยึดหลักการพัฒนาแบบ SDLC แบ่งออกเป็น Phases ประกอบดัวยดังนี้
- Planning Phase
- Analysis Phase
- Design Phase
- Implement Phase
เริ่มต้นการวางแผนงานให้กับระบบก่อน ว่าแต่ละขั้นตอนจะใช้เวลา ผู้พัฒนา พร้อมทั้งต้นทุนในการพัฒนาอย่างไร และกำหนดเวลาในการส่งมอบงานให้กลับลูกค้าแต่ละ Phases เป็นอย่างไร หลังจากนั้ก็เริ่มการทำงานใน Phase การวิเคราะห์โดยเริ่มจากการเก็บ Requirement ของลูกค้า แล้วนำกลับมาวิเคราะห์และออกแบบตามความต้องการของลูกค้า เมื่อมีการวิเคราะห์และออกแบบในส่วนของ Requirements เรียบร้อยแล้วจะนำกลับไปนำเสนอลูกค้า ถ้าเกิดไม่มีปัญหา หรือ ตรงตามความต้องการของลูกค้าแล้วก็จะมีการเซ็นสัญญายอมรับงานในส่วนนั้น กรณีที่ไม่ตรงตามความต้องการของลูกค้าก็นำกลับมาแก้ไขใหม่แล้วนำกลับไปเสนอลูกค้าใหม่อีกที เมื่อลูกค้ามีการเซ็นสัญญาในส่วนงานนั้นแล้ว ถ้าหากต้องการแก้ไขก็จะมีการคิดค่าใช้จ่ายใหม่ หรือ อาจจะมีการตกลงกันอีกที จะมีการพัฒนาใน Phases ตามขั้นตอนต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีพัฒนาสำเร็จ พร้อมทั้งติดตั้งระบบและ Training จนเสร็จเรียบร้อย
ทั้งนี้การพัฒนาระบบของบริษัทฯ ก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นแบบ Waterfall และ Adapted Waterfall เสมอไป การพัฒนาระบบจะขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญและ Business Rule ของธุรกิจและความต้องการทางธุรกิจ
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้บริการด้านซอฟท์แวร์ อื่น เพื่อรองรับการทำงานของลูกค้าให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นด้วย Add on Package อาทิ Point of Sale (POS), Barcode, RFID
ITM เปรียบเทียบ UPS and FedEx
ยูพีเอส (United Parcel Service - UPS) ยูพีเอสก่อตั้งเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2450 ที่เมืองซี
แอทเทิล ในรัฐวอชิงตัน ปัจจุบันได้ย้ายสำนักงานใหญ่อยู่ที่แอตแลนตา ในรัฐจอร์เจีย
จุดเด่นของ เว็ปไซต์
1. นำเทคโนโลยีสารสนเทศเกิดประโยชน์ได้เป็นอย่างดี เพื่อประมวลผลข้อมูลใน
ด้านต่างๆ ทั้งในส่วนการแยกพัสดุภัณฑ์โดยอัตโนมัติ การจัดเรียงพัสดุภัณฑ์ให้มี
ประสิทธิภาพมากที่สุดในรถที่จัดส่งพัสดุภัณฑ์ไปยังลูกค้า ฯลฯ
2. นำเทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ในการกำหนดเส้นทางรถยนต์เพื่อ
จัดส่งพัสดุภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคอมพิวเตอร์จะคำนวณเส้นทาง
ให้รถยนต์เลี้ยวซ้ายในบริเวณสี่แยกให้น้อยที่สุด (กรณีของประเทศไทยเป็นการ
เลี้ยวขวา) มิฉะนั้น รถยนต์จะเสียเวลาและน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นในการหยุดรอ
เลี้ยว ยิ่งไปกว่านั้น การเลี้ยวซ้ายยังมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นกว่าการขับตรง
หรือเลี้ยวขวาอีกด้วย
3. UPS มีการคิดค้นอุปกรณ์ Delivery Information Acquisition Device (DIAD) ซึ่ง
เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพา มาอำนวยความสะดวกในการให้บริการเซ็น
รับเอกสารหรือพัสดุ โดยสามารถประหยัดเวลามากกว่าการเซ็นรับพัสดุบน
กระดาษ เนื่องจากสามารถตรวจสอบได้ง่ายว่าเป็นลายเซ็นนอกจากนี้ ข้อมูลที่
ได้รับจากเครื่อง DIAD จะส่งโดยทันทีไปยังศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท
ทำให้สามารถประมูลข้อมูลที่ได้รับแบบ Real Time
จุดด้อยของเว็ปไซต์
1. การส่งของถึงปลายทางช้ากว่ากำหนด
2. มีขั้นตอนในการเช็ครายละเอียดพัสดุยุ่งยาก
3. มีลูกข่ายน้อย
4. มีความปลอดภัยน้อย
จากการทดลองส่งของจาก Bangkok, Thailand ไป Itaty จาก www.usp.com สามารถแสดง
รายละเอียดได้ดังนี้

บริษัท เฟดเดอรัล เอ็กซ์เพรส คอร์ปอเรชั่น จำกัดหรือเรียกสั้น ๆ ว่า “FedEx” เป็นบริษัทที่
ให้บริการด้านการพัสดุธุรกิจการขนส่งพัสดุสินค้าซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจการขนส่งที่มีสาขาเครือข่าย
การให้บริการครอบคลุมกว่า 200 ประเทศทั่วโลก
“FedEx” เป็นบริษัทที่ให้บริการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์เร่งด่วนของสหรัฐอเมริกา และ
เริ่มปฏิบัติการในไทยโดยผ่านตัวแทนดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ.2526 และจัดตั้งสำนักงานอย่างเป็น
ทางการในปี พ.ศ.2542 บริษัทมีการพัฒนาการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องดังจะเห็นได้จากการได้รับ
รางวัล Malcolm Baldrige National Quality Award ในปี พ.ศ.2533 ของสำนักงานใหญ่ใน
ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งแนวทางการบริหารจัดการในการดำเนินงานดังกล่าวเป็นมาตรฐานการ
ทำงานที่นำมาใช้กับบริษัทในเครือทั่วโลกปัจจุบัน FedEx มีพนักงานทั่วโลกประมาณ 148,000 คน
มีเครื่องบินขนส่งสินค้ามากกว่า663 เครื่อง รถบรรทุกและรถส่งของทั่วโลกกว่า 45,500 คัน ซึ่ง
สามารถรับส่งสินค้ามากกว่า 33 ล้านชิ้นต่อวันทำการ ในส่วนของประเทศไทย ปัจจุบันมีพนักงาน
ประมาณ 340 คน มีรถรับส่งสินค้า 66 คัน และมีส่วนแบ่งตลาดสูงเป็นลำดับต้น ๆ
FedEx มีปรัชญาการดำเนินงาน คือ “บุคลากร-การบริการ-ผลกำไร” ที่บริษัทมุ่งสร้างความ
สมดุลให้เกิดขึ้นทั้ง 3 องค์ประกอบ ภายใต้แนวคิดการบริหารงานว่าหากพนักงานมีความรู้และ
ความสามารถที่ดีในการทำงานและเอาใจใส่ในการบริการลูกค้า จะทำให้พนักงานให้บริการลูกค้า
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะนำมาซึ่งความพึงพอใจของลูกค้า และลูกค้าจะกลับมาใช้บริการของ
FedEx มากขึ้น ซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นด้วย ทั้งนี้ผลตอบแทนที่ได้รับ
จากผลกำไรก็จะย้อนกลับไปยังพนักงานในรูปแบบของผลประโยชน์ต่าง ๆ
จากการศึกษาข้อมูลของ FedEx แล้วเล็งเห็นว่า FedEx มีลักษณะการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์และเป็น
แนวทางในการปฏิบัติในการทำธุรกิจของ FedEd
1. การกำหนดตัววัด ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับทิศทางของ
บริษัทที่มุ่งเน้นการให้บริการที่รวดเร็ว ถูกต้อง และตรงเวลา โดย FedEx ได้กำหนดตัวชี้วัดผล
การดำเนินงานที่เหมือนกันทั่วโลก เรียกว่า “International Service Quality Index (ISQ) เช่น การวัด
จำนวนวันที่ใช้ส่งสินค้า ความเสียหายของสินค้าลูกค้า
2. ช่องทาง ระบบการสื่อสารข้อมูลให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ และการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการ
ดำเนินงาน โดยดำเนินการผ่านระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์หรืออินเทอร์เน็ต FedEx มีการเก็บข้อมูล
อย่างเป็นระบบ และช่องทางการสื่อสารภายในองค์กรก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว โดยผู้บริหาร
ตั้งแต่ระดับผู้จัดการจะได้รับ Notebook 1 เครื่อง เพื่อความคล่องตัวในการทำงานนอกสถานที่ และ
สามารถออนไลน์โดยการใช้ต่อจากโทรศัพท์ที่มีอุปกรณ์พิเศษติดตั้งให้ต่อกับ Notebook เพื่อความ
รวดเร็วในการบริหารจัดการ
แอทเทิล ในรัฐวอชิงตัน ปัจจุบันได้ย้ายสำนักงานใหญ่อยู่ที่แอตแลนตา ในรัฐจอร์เจีย
จุดเด่นของ เว็ปไซต์
1. นำเทคโนโลยีสารสนเทศเกิดประโยชน์ได้เป็นอย่างดี เพื่อประมวลผลข้อมูลใน
ด้านต่างๆ ทั้งในส่วนการแยกพัสดุภัณฑ์โดยอัตโนมัติ การจัดเรียงพัสดุภัณฑ์ให้มี
ประสิทธิภาพมากที่สุดในรถที่จัดส่งพัสดุภัณฑ์ไปยังลูกค้า ฯลฯ
2. นำเทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ในการกำหนดเส้นทางรถยนต์เพื่อ
จัดส่งพัสดุภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคอมพิวเตอร์จะคำนวณเส้นทาง
ให้รถยนต์เลี้ยวซ้ายในบริเวณสี่แยกให้น้อยที่สุด (กรณีของประเทศไทยเป็นการ
เลี้ยวขวา) มิฉะนั้น รถยนต์จะเสียเวลาและน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นในการหยุดรอ
เลี้ยว ยิ่งไปกว่านั้น การเลี้ยวซ้ายยังมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นกว่าการขับตรง
หรือเลี้ยวขวาอีกด้วย
3. UPS มีการคิดค้นอุปกรณ์ Delivery Information Acquisition Device (DIAD) ซึ่ง
เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพา มาอำนวยความสะดวกในการให้บริการเซ็น
รับเอกสารหรือพัสดุ โดยสามารถประหยัดเวลามากกว่าการเซ็นรับพัสดุบน
กระดาษ เนื่องจากสามารถตรวจสอบได้ง่ายว่าเป็นลายเซ็นนอกจากนี้ ข้อมูลที่
ได้รับจากเครื่อง DIAD จะส่งโดยทันทีไปยังศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท
ทำให้สามารถประมูลข้อมูลที่ได้รับแบบ Real Time
จุดด้อยของเว็ปไซต์
1. การส่งของถึงปลายทางช้ากว่ากำหนด
2. มีขั้นตอนในการเช็ครายละเอียดพัสดุยุ่งยาก
3. มีลูกข่ายน้อย
4. มีความปลอดภัยน้อย
จากการทดลองส่งของจาก Bangkok, Thailand ไป Itaty จาก www.usp.com สามารถแสดง
รายละเอียดได้ดังนี้

บริษัท เฟดเดอรัล เอ็กซ์เพรส คอร์ปอเรชั่น จำกัดหรือเรียกสั้น ๆ ว่า “FedEx” เป็นบริษัทที่
ให้บริการด้านการพัสดุธุรกิจการขนส่งพัสดุสินค้าซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจการขนส่งที่มีสาขาเครือข่าย
การให้บริการครอบคลุมกว่า 200 ประเทศทั่วโลก
“FedEx” เป็นบริษัทที่ให้บริการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์เร่งด่วนของสหรัฐอเมริกา และ
เริ่มปฏิบัติการในไทยโดยผ่านตัวแทนดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ.2526 และจัดตั้งสำนักงานอย่างเป็น
ทางการในปี พ.ศ.2542 บริษัทมีการพัฒนาการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องดังจะเห็นได้จากการได้รับ
รางวัล Malcolm Baldrige National Quality Award ในปี พ.ศ.2533 ของสำนักงานใหญ่ใน
ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งแนวทางการบริหารจัดการในการดำเนินงานดังกล่าวเป็นมาตรฐานการ
ทำงานที่นำมาใช้กับบริษัทในเครือทั่วโลกปัจจุบัน FedEx มีพนักงานทั่วโลกประมาณ 148,000 คน
มีเครื่องบินขนส่งสินค้ามากกว่า663 เครื่อง รถบรรทุกและรถส่งของทั่วโลกกว่า 45,500 คัน ซึ่ง
สามารถรับส่งสินค้ามากกว่า 33 ล้านชิ้นต่อวันทำการ ในส่วนของประเทศไทย ปัจจุบันมีพนักงาน
ประมาณ 340 คน มีรถรับส่งสินค้า 66 คัน และมีส่วนแบ่งตลาดสูงเป็นลำดับต้น ๆ
FedEx มีปรัชญาการดำเนินงาน คือ “บุคลากร-การบริการ-ผลกำไร” ที่บริษัทมุ่งสร้างความ
สมดุลให้เกิดขึ้นทั้ง 3 องค์ประกอบ ภายใต้แนวคิดการบริหารงานว่าหากพนักงานมีความรู้และ
ความสามารถที่ดีในการทำงานและเอาใจใส่ในการบริการลูกค้า จะทำให้พนักงานให้บริการลูกค้า
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะนำมาซึ่งความพึงพอใจของลูกค้า และลูกค้าจะกลับมาใช้บริการของ
FedEx มากขึ้น ซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นด้วย ทั้งนี้ผลตอบแทนที่ได้รับ
จากผลกำไรก็จะย้อนกลับไปยังพนักงานในรูปแบบของผลประโยชน์ต่าง ๆ
จากการศึกษาข้อมูลของ FedEx แล้วเล็งเห็นว่า FedEx มีลักษณะการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์และเป็น
แนวทางในการปฏิบัติในการทำธุรกิจของ FedEd
1. การกำหนดตัววัด ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับทิศทางของ
บริษัทที่มุ่งเน้นการให้บริการที่รวดเร็ว ถูกต้อง และตรงเวลา โดย FedEx ได้กำหนดตัวชี้วัดผล
การดำเนินงานที่เหมือนกันทั่วโลก เรียกว่า “International Service Quality Index (ISQ) เช่น การวัด
จำนวนวันที่ใช้ส่งสินค้า ความเสียหายของสินค้าลูกค้า
2. ช่องทาง ระบบการสื่อสารข้อมูลให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ และการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการ
ดำเนินงาน โดยดำเนินการผ่านระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์หรืออินเทอร์เน็ต FedEx มีการเก็บข้อมูล
อย่างเป็นระบบ และช่องทางการสื่อสารภายในองค์กรก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว โดยผู้บริหาร
ตั้งแต่ระดับผู้จัดการจะได้รับ Notebook 1 เครื่อง เพื่อความคล่องตัวในการทำงานนอกสถานที่ และ
สามารถออนไลน์โดยการใช้ต่อจากโทรศัพท์ที่มีอุปกรณ์พิเศษติดตั้งให้ต่อกับ Notebook เพื่อความ
รวดเร็วในการบริหารจัดการ
วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
การออกแบบ use case
Use Case คือ กรณีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในระบบที่เกิดจาก Actor หรือเป็นฟังก์ชันการทำงานของระบบซึ่ง Actorเป็นผู้กระทำให้เกิดขึ้น
อาจกล่าวได้ว่า Use Case คือ ความสามารถหรือหน้าที่การทำงานของระบบ โดยที่แต่ละ Use Case แทนชุดของ transactions ที่ระบบทำงานโต้ตอบกับผู้ใช้งาน หรือระบบอื่นๆ ภายนอก
Use Case จะอธิบายทุกๆกรณีที่สามารถเกิดขึ้นได้
Scenario เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ของ Use Case ซึ่งอาจไม่ได้เกิดขึ้นทุกกรณีที่ระบุใน Use Case
ถ้าเปรียบเทียบ Object เป็น instance ของ Class
Scenario เป็น instance ของ Use Case


วงจรชีวิตของข้อมูล (Data life cycle Process)เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่จะบริหารข้อมูลให้ดียิ่งขึ้นมันก็จำเป็นที่จะต้องดูการไหลเวียนของข้อมูลในองค์กรว่าไปที่ไหนและอย่างไร ธุรกิจไม่ได้ดำเนินงานโดยใช้ข้อมูลดิบ (Raw Data) แต่จะ*ดำเนินงานอยู่บนข้อมูลที่ถูกประมวลผลมาเป็นสารสนเทศ (Information) และองค์ความรู้ (Knowledge)
แหล่งข้อมูล (Data Sources) วงจรชีวิตของข้อมูลเริ่มจากการได้รับข้อมูลมาจากแหล่งข้อมูล แหล่งข้อมูลสามารถแบ่งออกเป็น แหล่งข้อมูลภายใน ข้อมูลส่วนบุคคล และแหล่งข้อมูลภายนอก สามารถแบ่งได้ คือ
แหล่งข้อมูลภายใน (Internal Data Sources) ข้อมูลภายในองค์กรมักจะเกี่ยวกับคน สินค้า บริการ ซึ่งจะพบในที่หนึ่งที่ใดหรือ หลาย ๆ ที่ เช่นข้อมูลเกี่ยวกับ ลูกจ้างและค่าแรง
ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) ผู้ใช้งานหรือพนักงานของบริษัททั่ว ๆ ไปอาจจะทำเอกสารของตนเองตามหน้าที่ และความเชี่ยวชาญที่ตนมีโดยจัดเก็บเป็นข้อมูลส่วนตัว
แหล่งข้อมูลภายนอก (External Data Sources) แหล่งข้อมูลภายนอกมีมากมายมหาศาลจึงมักไม่มีความสัมพันธ์กับระบบงานใดเป็นการเฉพาะ
ออกแบบระบบบริหารจัดการโรงภาพยนต์และจองตั๋วออนไลน์

ออกแบบระบบบริหารจัดการโรงภาพยนต์และจองตั๋วออนไลน์
ลักษณะของโครงงาน
โครงงานจะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1. Windows Application : เป็นส่วนที่แสดงการบริหารงานของโรงภาพยนตร์ เช่น การซื้อ-ขายตั๋วภาพยนตร์ การบันทึกข้อมูลของลูกค้า พนักงาน และข้อมูลภาพยนตร์ การออกรายงาน
2. Web Base Application : เป็นส่วนที่ใช้ติดต่อกับลูกค้า โดยที่ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลของภาพยนตร์ พร้อมทั้งจองตั๋วล่วงหน้าได้
ลักษณะของโครงงาน
โครงงานจะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1. Windows Application : เป็นส่วนที่แสดงการบริหารงานของโรงภาพยนตร์ เช่น การซื้อ-ขายตั๋วภาพยนตร์ การบันทึกข้อมูลของลูกค้า พนักงาน และข้อมูลภาพยนตร์ การออกรายงาน
2. Web Base Application : เป็นส่วนที่ใช้ติดต่อกับลูกค้า โดยที่ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลของภาพยนตร์ พร้อมทั้งจองตั๋วล่วงหน้าได้
System Architecture Design
System Architecture Design
เป็นการออกแบบโครงสร้างตามความต้องการของผู้ใช้งาน โดยลักษณะของงานจะเป็นการส่งผ่านข้อมูลผ่านทาง Admin และผ่านทางหน้า Web
ระบบจะถูกออกแบบให้อยู่ในพื้นฐานของระบบ Client/Server โดยฝั่ง Client จะมีผู้ใช้เป็นทั้ง User และ Admin โดยใช้ Web Application เป็นตัวดำเนินการทำงานและใช้ Server เป็นตัวประมวลผลและจัดการกับฐานข้อมูลต่างๆของระบบ สิ่งที่แสดงอยู่ในสถาปัตยกรรม ด้านของ Client คือ เครื่องของผู้ใช้งานทั่วไป (User) และ (Admin) ที่ไปขอใช้บริการอย่างใดอย่างหนึ่งจาก Server โดยการส่งค่า Request ไปยัง Server ด้านของ Server คือ เครื่องที่ทำหน้าที่ในการให้บริการแก่ Client โดยการรับ ค่าRequest จาก Client มาประมวลผล แล้วทำการส่ง Response กลับไปยัง Client สิ่งที่แสดงอยู่ในสถาปัตยกรรม
1. ด้านของ Client คือ เครื่องของผู้ใช้ทั่วไป (User) และ (Admin) ที่ไปขอใช้บริการอย่างใดอย่างหนึ่งจาก Server โดยการส่งค่า Request ไปยัง Server
2. ด้านของ Server คือ เครื่องที่ทำหน้าที่ในการให้บริการแก่ Client โดยการรับ ค่าRequest จาก Client มาประมวลผล แล้วทำการส่ง Response กลับไปยัง Client
3. ระบบ ได้แบ่งระบบของผู้ใช้งานแยกเป็น 2 อย่างคือ User และ Admin ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้
Form ของผู้ใช้ทั่วไป (User) ใช้ Login เพื่อตรวจสอบยืนยันตัวตนในการเข้าใช้ระบบ
Form ของผู้ดูแลระบบ (Admin) ใช้ในการตรวจสอบข้อมูลของ User โดยการ Login มีไว้ตรวจสอบยืนยันตัวตนของ Adminในการเข้าใช้ระบบ
4. PHP ใช้เป็นส่วนในการสร้าง Web Application ขึ้นมาเพื่อใช้งานในส่วนของ UserและAdmin และยังใช้ในการเข้าถึงฐานข้อมูล MySQL อีกด้วย
5. Web Server ใช้ Apache Web Server ในทำงานบนฝั่ง Server ทำหน้าที่ในการรับคำสั่งจากการร้องขอของฝั่ง Client (โดยผ่านทาง Browser) และประมวลผลการทำงานจากการร้องขอดังกล่าว แล้วส่งข้อมูลกลับไปยังเครื่องของ Client ที่ร้องขอ
6. Function ใน Server มีดังต่อไปนี้
- Check User and Password ใช้ในการเช็ค Username และ Password เพื่อใช้ตรวจสอบในขั้นตอนการ Login
- Logout เอาไว้ออกจากระบบ เมื่องานเสร็จเพื่อนความปลอดภัยของข้อมูล
7. MySQL ใช้เป็นตัวเก็บฐานข้อมูลของระบบ มี 3 Table มีดังนี้
- Login of User
- Login of Admin
8. Printer ให้ ใช้ในการพิมพ์ข้อมูลออกมาดูหรือเก็บไว้เป็นหลักฐาน
เป็นการออกแบบโครงสร้างตามความต้องการของผู้ใช้งาน โดยลักษณะของงานจะเป็นการส่งผ่านข้อมูลผ่านทาง Admin และผ่านทางหน้า Web
ระบบจะถูกออกแบบให้อยู่ในพื้นฐานของระบบ Client/Server โดยฝั่ง Client จะมีผู้ใช้เป็นทั้ง User และ Admin โดยใช้ Web Application เป็นตัวดำเนินการทำงานและใช้ Server เป็นตัวประมวลผลและจัดการกับฐานข้อมูลต่างๆของระบบ สิ่งที่แสดงอยู่ในสถาปัตยกรรม ด้านของ Client คือ เครื่องของผู้ใช้งานทั่วไป (User) และ (Admin) ที่ไปขอใช้บริการอย่างใดอย่างหนึ่งจาก Server โดยการส่งค่า Request ไปยัง Server ด้านของ Server คือ เครื่องที่ทำหน้าที่ในการให้บริการแก่ Client โดยการรับ ค่าRequest จาก Client มาประมวลผล แล้วทำการส่ง Response กลับไปยัง Client สิ่งที่แสดงอยู่ในสถาปัตยกรรม
1. ด้านของ Client คือ เครื่องของผู้ใช้ทั่วไป (User) และ (Admin) ที่ไปขอใช้บริการอย่างใดอย่างหนึ่งจาก Server โดยการส่งค่า Request ไปยัง Server
2. ด้านของ Server คือ เครื่องที่ทำหน้าที่ในการให้บริการแก่ Client โดยการรับ ค่าRequest จาก Client มาประมวลผล แล้วทำการส่ง Response กลับไปยัง Client
3. ระบบ ได้แบ่งระบบของผู้ใช้งานแยกเป็น 2 อย่างคือ User และ Admin ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้
Form ของผู้ใช้ทั่วไป (User) ใช้ Login เพื่อตรวจสอบยืนยันตัวตนในการเข้าใช้ระบบ
Form ของผู้ดูแลระบบ (Admin) ใช้ในการตรวจสอบข้อมูลของ User โดยการ Login มีไว้ตรวจสอบยืนยันตัวตนของ Adminในการเข้าใช้ระบบ
4. PHP ใช้เป็นส่วนในการสร้าง Web Application ขึ้นมาเพื่อใช้งานในส่วนของ UserและAdmin และยังใช้ในการเข้าถึงฐานข้อมูล MySQL อีกด้วย
5. Web Server ใช้ Apache Web Server ในทำงานบนฝั่ง Server ทำหน้าที่ในการรับคำสั่งจากการร้องขอของฝั่ง Client (โดยผ่านทาง Browser) และประมวลผลการทำงานจากการร้องขอดังกล่าว แล้วส่งข้อมูลกลับไปยังเครื่องของ Client ที่ร้องขอ
6. Function ใน Server มีดังต่อไปนี้
- Check User and Password ใช้ในการเช็ค Username และ Password เพื่อใช้ตรวจสอบในขั้นตอนการ Login
- Logout เอาไว้ออกจากระบบ เมื่องานเสร็จเพื่อนความปลอดภัยของข้อมูล
7. MySQL ใช้เป็นตัวเก็บฐานข้อมูลของระบบ มี 3 Table มีดังนี้
- Login of User
- Login of Admin
8. Printer ให้ ใช้ในการพิมพ์ข้อมูลออกมาดูหรือเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ระบบนี้ใช้การออกแบบในลักษณะของ Client/Server System เป็นการเรียกใช้งานที่เครื่องลูกโดยมีการแสดงผลออกมาเป็น web page ข้อมูลทั้งหมดจะถูกจัดเก็บที่เครื่อง Server
ในการพัฒนาระบบนี้ จำเป็นที่จะต้องมีการวิเคราะห์และออกแบบ ในส่วนของโปรแกรม และฐานข้อมูล เนื่องจากการทำงานที่มีการวางแผนก่อนลงมือปฏิบัติงานนั้น จะช่วยทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เพราะว่าหากมีปัญหาเกิดขึ้นสามารถทำการแก้ไขได้โดยง่าย ตรงจุด อีกทั้งการทำงานแบบเป็นระบบจะช่วย ทำให้สามารถบอกถึงกำหนดเวลาที่ค่อนข้างแน่นอน ของการพัฒนาโปรแกรมได้ ซึ่งถือว่ามีประโยชน์มากในการพัฒนาโปรแกรมในปัจจุบันในส่วนของการวิเคราะห์และออกแบบระบบนี้ ใช้การวิเคราะห์และออกแบบโปรแกรมแบบเชิงวัตถุ (OOA) โดยประกอบไปด้วย Use Case Diagram , Class Diaram และ ER Diagram พร้อมทั้ง ได้จัดทำสถาปัตยกรรมโครงสร้างของระบบที่แสดงการทำงานไว้ด้วย
ในการพัฒนาระบบนี้ จำเป็นที่จะต้องมีการวิเคราะห์และออกแบบ ในส่วนของโปรแกรม และฐานข้อมูล เนื่องจากการทำงานที่มีการวางแผนก่อนลงมือปฏิบัติงานนั้น จะช่วยทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เพราะว่าหากมีปัญหาเกิดขึ้นสามารถทำการแก้ไขได้โดยง่าย ตรงจุด อีกทั้งการทำงานแบบเป็นระบบจะช่วย ทำให้สามารถบอกถึงกำหนดเวลาที่ค่อนข้างแน่นอน ของการพัฒนาโปรแกรมได้ ซึ่งถือว่ามีประโยชน์มากในการพัฒนาโปรแกรมในปัจจุบันในส่วนของการวิเคราะห์และออกแบบระบบนี้ ใช้การวิเคราะห์และออกแบบโปรแกรมแบบเชิงวัตถุ (OOA) โดยประกอบไปด้วย Use Case Diagram , Class Diaram และ ER Diagram พร้อมทั้ง ได้จัดทำสถาปัตยกรรมโครงสร้างของระบบที่แสดงการทำงานไว้ด้วย
Class Diagram
Class Diagram คือ แผนภาพที่ใช้แสดง Class และ ความสัมพันธ์ระหว่าง Class ของระบบที่สนใจ (Problem Domain) เช่น ในระบบจัดซื้อ Class ที่เกี่ยวข้องคือ ผู้ผลิต, พนักงานจัดซื้อ, ใบสั่งซื้อ, ใบเสนอราคา, ใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากกิจกรรม ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงโครงสร้าง (Attribute) คือข้อมูล (Data) หรือ ตัวแปร ( Variable) หน้าที่การทำงาน (Operation) คือ เมธอด (method) ภายใน class และความสัมพันธ์ระหว่าง class ต่างๆ ภายในระบบนอกจากนี้แสดงให้เห็นถึง class ทั้งหมดแล้วยังแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง class ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบ specialization , Association และอื่นๆ รวมถึงแสดงจำนวนสมาชิกของ object ดังรูป
สรุป การใช้งาน Class Diagram ในการออกแบบ
o ใช้อธิบายStructure ของระบบ
o ใช้ในขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบ Software Engineerใช้ Class Diagramเพื่อนำเสนอความรู้ใน
o ใช้อธิบายStructure ของระบบ
o ใช้ในขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบ Software Engineerใช้ Class Diagramเพื่อนำเสนอความรู้ใน
Domain ที่เกี่ยวกับ Applicationที่กำลังสร้าง( Knowledge of application domain)
o Classesรวม Objectsที่ใช้ในUse cases
o สามารถใช้ Class Diagram ติดต่อกับผู้ว่าจ้างเพื่อตรวจความเข้าใจโครงสร้างของระบบก่อนการสร้างได้
o Classesรวม Objectsที่ใช้ในUse cases
o สามารถใช้ Class Diagram ติดต่อกับผู้ว่าจ้างเพื่อตรวจความเข้าใจโครงสร้างของระบบก่อนการสร้างได้
ธุรกิจ กับ ระบบสารสนเทศ
- ยกตัวอย่างระบบจริงๆมา 3 ระบบ และอธิบาย
1. ระบบงานธนาคาร Citibank and ATMs จากการที่เป็นรายแรกที่ติดตั้งตู้ ATMs ซิตี้แบงค์และธนาคารใหญ่ๆอีกหลายแห่งเกิดความได้เปรียบทางกลยุทธ์เหนือคู่แข่ง ATMs ดึงดูดใจลูกค้าจากสถาบันการเงินอื่นๆ จากการตัดต้นทุนที่เกี่ยวกับการให้บริการและเพิ่มความสะดวกสบายในการให้บริการนั่นเอง ATM ยังเป็นตัวอย่างของการทำให้เกิดความแตกต่างในผลิตภัณฑ์ นับตั้งแต่ธนาคารให้บริการในรูปแบบใหม่ๆขึ้นมา ATM กระตุ้นให้ต้นทุนของการแข่งขันเพิ่มขึ้น ซึ่งผลักดันให้ธนาคารขนาดเล็กที่ไม่มีทุนในการลงทุนติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้มารวมกับธนาคารขนาดใหญ่กว่า ATM เป็นตัวแทนของรูปแบบการให้บริการทางธนาคารแบบใหม่ ที่น่าสนใจและสร้างความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า ดังนั้น เทคโนโลยีระบบสารสนเทศได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนากลยุทธ์กระบวนการการให้บริการแก่ธนาคาร
2. ระบบงานบริษัท Chrysler ได้จัดการปรับปรุงกระบวนการพัฒนายานพาหนะให้ไปสู่กลุ่มทำงานแบบผสมผสานแนวนโยบาย (Multidisciplinary Platform Teams) โดยเชื่อมโยงติดต่อกันโดย CATIA Pipeline ซึ่งเป็นเครือข่ายสื่อสารระยะไกลที่เชื่อมโยงแทบจะทุกส่วนธุรกิจของบริษัท เข้ากับส่วนอื่นๆ รวมทั้งผู้จัดหาสินค้า และคู่สัญญาจากภายนอก ซอฟต์แวร์หลักที่ขับเคลื่อนข้อมูลผ่านทางเครือข่ายและจัดการฐานข้อมูล คือ CATIA (Computer-Aided Three-Dimensional Interactive Application) ซึ่งเป็นระบบสุดยอดที่รวมเอาการออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ การพัฒนา การประดิษฐ์ทางวิศวกรรม และการผลิต จาก Dassault Systems ของประเทศฝรั่งเศส ข้อมูลการผลิตจะถูกส่งต่ออย่างรวดเร็วจากทุกทิศทุกทาง เชื่อมโยงผู้จัดการ ผู้ออกแบบ วิศวกร ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบริการทางเทคนิค ผู้จัดหาสินค้า และฝ่ายผลิตเข้าด้วยกัน
3. ระบบงานของโรงพยาบาลใช้ซอฟต์แวร์ Hospital 2000 คือ ระบบคอมพิวเตอร์สำหรับงานโรงพยาบาลโดยเฉพาะ ซึ่งครอบคลุมระบบงานของโรงพยาบาลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลผู้ป่วย แพทย์ ระบบการเก็บเงิน ระบบบัญชี ระบบรังสีวิทยา ระบบข้อมูลปฏิบัติการ ระบบงานเภสัชกรรม ระบบลงทะเบียน ระบบรับ-ส่ง-ย้ายผู้ป่วย ใน ระบบคลินิก ระบบวอร์ด รวมทั้งระบบส่วนสำนักงาน ได้แก่ การจัดการ จัดซื้อ บัญชี การบริหารทรัพยากรบุคคล โดยระบบย่อยต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกรวมเอาไว้ในระบบใหญ่เพียงระบบเดียว บนฐานข้อมูลเดียว และยังสามารถรองรับกับทุกภาษาในโลก ใช้ปฎิทินได้ทั้งในแบบคริสต์ศักราชและพุทธศักราช โดยได้ทำการติดตั้งครั้งแรกให้แก่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2542 เป็นต้นมา Hospital 2000 ทำงานบนแพลตฟอร์ม Microsoft Window 2000 , Microsoft SQL Server และ Windows NT โดยใช้เทคโนโลยีคลัสเตอร์ใน Windows 2000 เข้ามามีส่วนในการเพิ่มศักยภาพ และความน่าเชื่อถือให้กับระบบมากยิ่งขึ้น
- ระบบสารสนเทศ สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร
เทคโนโลยีสารสนเทศ ปัจจัยขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจในช่วงทศวรรษ 1990 บริษัทต่าง ๆ จำนวนมากได้ทุ่มเงินลงทุนในเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ (New Information Technology: NIT) โดยมุ่งลงทุนในด้าน เว็บไซต์ โปรแกรมประยุกต์ที่ทันสมัย อุปกรณ์ช่วยในการประชุมทางไกล เครือข่ายสื่อสารไร้สาย ฯลฯ การลงทุน ดังกล่าว ได้ช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียมคู่แข่งของบริษัท แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน เราพบว่าบริษัทต่าง ๆ จำนวนมาก มีความจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในเทคโนโลยีที่จะลงทุน การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ ในวิถีทางที่สอดคล้องที่สุดต่อธุรกิจของบริษัท และวัตถุประสงค์ทางกลยุทธ์ รวมถึงการดำเนินงานทางการขายและการตลาดต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน
บริษัทหรือผลิตภัณฑ์ลักษณะใดที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่เหล่านี้ เราจะเห็นได้ว่ามีการจำหน่ายตั๋วหรือจองที่นั่งในเที่ยวบินผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ ในขณะที่การขายรถยนต์และสินค้าแฟชั่น ยังไม่สามารถทำได้ในลักษณะเดียวกัน นอกจากนี้แล้ว บางครั้ง ตัวอย่างเช่น การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ จะสามารถตัดขั้นตอนการมีคนกลางในระบบธุรกิจ เช่น บริษัทตัวแทนในการกระจายสินค้า ออกไปจากการดำเนินธุรกิจ (เราเรียกกรณีดังกล่าวว่า Classic Disintermediation) หรือ แทนที่จะตัดคนกลางออกไป ก็อาจเลือกแนวทางรวบรวมบริษัทคนกลางเหล่านั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบ (เรียกว่า Remediation) หรืออาจสร้างพันธมิตรและหุ้นส่วนทางกลยุทธ์กับบริษัทใหม่หรือบริษัทที่ดำเนินงานอยู่ เพื่อจัดการกับความสัมพันธ์ใหม่ที่เกิดขึ้นและมีความซับซ้อน (เรียกว่า Network-Based Mediation)
กลยุทธ์การรวมตัวในรูปแบบต่าง ๆ เหล่านี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความสามารถในการปรับแต่งได้ของผลิตภัณฑ์ (Product’s Customizability) และลักษณะของข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง โดยการศึกษาทำความเข้าใจต่อปัจจัยขับเคลื่อนต่าง ๆ ของเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ บริษัทต่าง ๆ จะสามารถเริ่มต้นคาดหมายการปรับเปลี่ยนที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นได้ในอุตสาหกรรมของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่มุมด้านแนวทางการทำการตลาดและการขาย ในที่สุดแล้ว เราจำเป็นต้องพัฒนากรอบความคิดที่เป็นระบบที่จะระบุปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับกลยุทธ์ที่แตกต่างกันตามที่กล่าว ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ 1. Classic Disintermediation 2. Remediation และ 3. Network-Based Mediation โดยการใช้แนวคิดนี้ บริษัทต่าง ๆ สามารถกำหนดแนวทางที่เหมาะสมกับการปรับเปลี่ยนธุรกิจและการลงทุนในเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ ซึ่งจำเป็นต่อความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมปัจจัยขับเคลื่อนเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่
สรุปการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้เพื่อทำให้เกิดกลยุทธ์ทางการ
1. กลยุทธ์ความเป็นผู้นำด้านราคาช่วยในการลดต้นทุนการจัดซื้อ การผลิต
2. กลยุทธ์ด้านความแตกต่าง ช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้เพิ่มสูงขึ้นลงทุนทาง IT เพื่อเป็นเหมือนกำแพงกั้นไม่ให้คนภายนอกวงการอุตสาหกรรมของตนเข้ามาเป็นคู่แข่ง
3. กลยุทธ์ด้านนวัตกรรม สามารถทำให้ธุรกิจเป็นเป็นผู้นำในตลาด ใช้ IT เป็นส่วนประกอบที่ทำให้สินค้าของบริษัทคู่แข่งที่จะเข้ามาแทนที่ในตลาดนั้น หมดความน่าสนใจ
4. กลยุทธ์ความเจริญเติบโต เป็นผู้นำในตลาด
5. กลยุทธ์ด้านพันธมิตร ลดต้นทุนด้านคลังสินค้า / เพิ่มการขาย ทำให้เกิดการค้าขายได้ทันทวงที ใช้ระบบสารสนเทศระหว่างองค์กรเพื่อสร้างกลไกราคาที่จะควบคุมลูกค้าและผู้จัดหาสินค้า
- ระบบสารสนเทศชนิดใดที่ควรพัฒนาขั้นมาใช้งานก่อนเป็นลำดับแรก (ในกรณีองค์ยังไม่ระบบสารสนเทศใดเลย)
ในการที่จะพัฒนาระบบสารสนเทศขึ้นมาเพื่อทำให้ได้ผลตอบแทนที่เร็วที่สุดและคุ้มค่าแก่การลงเราควรจะเลือกระบบสารสนเทศที่ช่วยส่งเสริมให้องค์กรขับเคลื่อนธุรกิจไปได้ เช่น ต้องการพัฒนาระบบสารสนเทศให้แก่ฝ่ายขายเพื่อให้ผลตอบแทนเร็วที่สุดและใช้เวลาในน้อยที่สุด
- ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวกับบริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาระบบสารสนเทศและบริษัทที่จำหน่าย ERP ในปัจจุบันมีบริษัทใดบ้าง
บริษัท คอมพ์ ดีเวลลปเอร์ จำกัด เป็นบริษัทที่ให้คำปรึกษาและจำหน่ายโปรแกรมระบบบัญชี CD-ORGANIZED 2003-2008 Mfatix Company Limited. เป็นบริษัทที่จำหน่ายระบบ ERP
Almacom(Thailland) Ltd.เป็นบริษัทที่จำหน่ายระบบ ERP
1. ระบบงานธนาคาร Citibank and ATMs จากการที่เป็นรายแรกที่ติดตั้งตู้ ATMs ซิตี้แบงค์และธนาคารใหญ่ๆอีกหลายแห่งเกิดความได้เปรียบทางกลยุทธ์เหนือคู่แข่ง ATMs ดึงดูดใจลูกค้าจากสถาบันการเงินอื่นๆ จากการตัดต้นทุนที่เกี่ยวกับการให้บริการและเพิ่มความสะดวกสบายในการให้บริการนั่นเอง ATM ยังเป็นตัวอย่างของการทำให้เกิดความแตกต่างในผลิตภัณฑ์ นับตั้งแต่ธนาคารให้บริการในรูปแบบใหม่ๆขึ้นมา ATM กระตุ้นให้ต้นทุนของการแข่งขันเพิ่มขึ้น ซึ่งผลักดันให้ธนาคารขนาดเล็กที่ไม่มีทุนในการลงทุนติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้มารวมกับธนาคารขนาดใหญ่กว่า ATM เป็นตัวแทนของรูปแบบการให้บริการทางธนาคารแบบใหม่ ที่น่าสนใจและสร้างความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า ดังนั้น เทคโนโลยีระบบสารสนเทศได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนากลยุทธ์กระบวนการการให้บริการแก่ธนาคาร
2. ระบบงานบริษัท Chrysler ได้จัดการปรับปรุงกระบวนการพัฒนายานพาหนะให้ไปสู่กลุ่มทำงานแบบผสมผสานแนวนโยบาย (Multidisciplinary Platform Teams) โดยเชื่อมโยงติดต่อกันโดย CATIA Pipeline ซึ่งเป็นเครือข่ายสื่อสารระยะไกลที่เชื่อมโยงแทบจะทุกส่วนธุรกิจของบริษัท เข้ากับส่วนอื่นๆ รวมทั้งผู้จัดหาสินค้า และคู่สัญญาจากภายนอก ซอฟต์แวร์หลักที่ขับเคลื่อนข้อมูลผ่านทางเครือข่ายและจัดการฐานข้อมูล คือ CATIA (Computer-Aided Three-Dimensional Interactive Application) ซึ่งเป็นระบบสุดยอดที่รวมเอาการออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ การพัฒนา การประดิษฐ์ทางวิศวกรรม และการผลิต จาก Dassault Systems ของประเทศฝรั่งเศส ข้อมูลการผลิตจะถูกส่งต่ออย่างรวดเร็วจากทุกทิศทุกทาง เชื่อมโยงผู้จัดการ ผู้ออกแบบ วิศวกร ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบริการทางเทคนิค ผู้จัดหาสินค้า และฝ่ายผลิตเข้าด้วยกัน
3. ระบบงานของโรงพยาบาลใช้ซอฟต์แวร์ Hospital 2000 คือ ระบบคอมพิวเตอร์สำหรับงานโรงพยาบาลโดยเฉพาะ ซึ่งครอบคลุมระบบงานของโรงพยาบาลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลผู้ป่วย แพทย์ ระบบการเก็บเงิน ระบบบัญชี ระบบรังสีวิทยา ระบบข้อมูลปฏิบัติการ ระบบงานเภสัชกรรม ระบบลงทะเบียน ระบบรับ-ส่ง-ย้ายผู้ป่วย ใน ระบบคลินิก ระบบวอร์ด รวมทั้งระบบส่วนสำนักงาน ได้แก่ การจัดการ จัดซื้อ บัญชี การบริหารทรัพยากรบุคคล โดยระบบย่อยต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกรวมเอาไว้ในระบบใหญ่เพียงระบบเดียว บนฐานข้อมูลเดียว และยังสามารถรองรับกับทุกภาษาในโลก ใช้ปฎิทินได้ทั้งในแบบคริสต์ศักราชและพุทธศักราช โดยได้ทำการติดตั้งครั้งแรกให้แก่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2542 เป็นต้นมา Hospital 2000 ทำงานบนแพลตฟอร์ม Microsoft Window 2000 , Microsoft SQL Server และ Windows NT โดยใช้เทคโนโลยีคลัสเตอร์ใน Windows 2000 เข้ามามีส่วนในการเพิ่มศักยภาพ และความน่าเชื่อถือให้กับระบบมากยิ่งขึ้น
- ระบบสารสนเทศ สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร
เทคโนโลยีสารสนเทศ ปัจจัยขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจในช่วงทศวรรษ 1990 บริษัทต่าง ๆ จำนวนมากได้ทุ่มเงินลงทุนในเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ (New Information Technology: NIT) โดยมุ่งลงทุนในด้าน เว็บไซต์ โปรแกรมประยุกต์ที่ทันสมัย อุปกรณ์ช่วยในการประชุมทางไกล เครือข่ายสื่อสารไร้สาย ฯลฯ การลงทุน ดังกล่าว ได้ช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียมคู่แข่งของบริษัท แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน เราพบว่าบริษัทต่าง ๆ จำนวนมาก มีความจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในเทคโนโลยีที่จะลงทุน การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ ในวิถีทางที่สอดคล้องที่สุดต่อธุรกิจของบริษัท และวัตถุประสงค์ทางกลยุทธ์ รวมถึงการดำเนินงานทางการขายและการตลาดต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน
บริษัทหรือผลิตภัณฑ์ลักษณะใดที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่เหล่านี้ เราจะเห็นได้ว่ามีการจำหน่ายตั๋วหรือจองที่นั่งในเที่ยวบินผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ ในขณะที่การขายรถยนต์และสินค้าแฟชั่น ยังไม่สามารถทำได้ในลักษณะเดียวกัน นอกจากนี้แล้ว บางครั้ง ตัวอย่างเช่น การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ จะสามารถตัดขั้นตอนการมีคนกลางในระบบธุรกิจ เช่น บริษัทตัวแทนในการกระจายสินค้า ออกไปจากการดำเนินธุรกิจ (เราเรียกกรณีดังกล่าวว่า Classic Disintermediation) หรือ แทนที่จะตัดคนกลางออกไป ก็อาจเลือกแนวทางรวบรวมบริษัทคนกลางเหล่านั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบ (เรียกว่า Remediation) หรืออาจสร้างพันธมิตรและหุ้นส่วนทางกลยุทธ์กับบริษัทใหม่หรือบริษัทที่ดำเนินงานอยู่ เพื่อจัดการกับความสัมพันธ์ใหม่ที่เกิดขึ้นและมีความซับซ้อน (เรียกว่า Network-Based Mediation)
กลยุทธ์การรวมตัวในรูปแบบต่าง ๆ เหล่านี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความสามารถในการปรับแต่งได้ของผลิตภัณฑ์ (Product’s Customizability) และลักษณะของข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง โดยการศึกษาทำความเข้าใจต่อปัจจัยขับเคลื่อนต่าง ๆ ของเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ บริษัทต่าง ๆ จะสามารถเริ่มต้นคาดหมายการปรับเปลี่ยนที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นได้ในอุตสาหกรรมของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่มุมด้านแนวทางการทำการตลาดและการขาย ในที่สุดแล้ว เราจำเป็นต้องพัฒนากรอบความคิดที่เป็นระบบที่จะระบุปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับกลยุทธ์ที่แตกต่างกันตามที่กล่าว ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ 1. Classic Disintermediation 2. Remediation และ 3. Network-Based Mediation โดยการใช้แนวคิดนี้ บริษัทต่าง ๆ สามารถกำหนดแนวทางที่เหมาะสมกับการปรับเปลี่ยนธุรกิจและการลงทุนในเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ ซึ่งจำเป็นต่อความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมปัจจัยขับเคลื่อนเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่
สรุปการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้เพื่อทำให้เกิดกลยุทธ์ทางการ
1. กลยุทธ์ความเป็นผู้นำด้านราคาช่วยในการลดต้นทุนการจัดซื้อ การผลิต
2. กลยุทธ์ด้านความแตกต่าง ช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้เพิ่มสูงขึ้นลงทุนทาง IT เพื่อเป็นเหมือนกำแพงกั้นไม่ให้คนภายนอกวงการอุตสาหกรรมของตนเข้ามาเป็นคู่แข่ง
3. กลยุทธ์ด้านนวัตกรรม สามารถทำให้ธุรกิจเป็นเป็นผู้นำในตลาด ใช้ IT เป็นส่วนประกอบที่ทำให้สินค้าของบริษัทคู่แข่งที่จะเข้ามาแทนที่ในตลาดนั้น หมดความน่าสนใจ
4. กลยุทธ์ความเจริญเติบโต เป็นผู้นำในตลาด
5. กลยุทธ์ด้านพันธมิตร ลดต้นทุนด้านคลังสินค้า / เพิ่มการขาย ทำให้เกิดการค้าขายได้ทันทวงที ใช้ระบบสารสนเทศระหว่างองค์กรเพื่อสร้างกลไกราคาที่จะควบคุมลูกค้าและผู้จัดหาสินค้า
- ระบบสารสนเทศชนิดใดที่ควรพัฒนาขั้นมาใช้งานก่อนเป็นลำดับแรก (ในกรณีองค์ยังไม่ระบบสารสนเทศใดเลย)
ในการที่จะพัฒนาระบบสารสนเทศขึ้นมาเพื่อทำให้ได้ผลตอบแทนที่เร็วที่สุดและคุ้มค่าแก่การลงเราควรจะเลือกระบบสารสนเทศที่ช่วยส่งเสริมให้องค์กรขับเคลื่อนธุรกิจไปได้ เช่น ต้องการพัฒนาระบบสารสนเทศให้แก่ฝ่ายขายเพื่อให้ผลตอบแทนเร็วที่สุดและใช้เวลาในน้อยที่สุด
- ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวกับบริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาระบบสารสนเทศและบริษัทที่จำหน่าย ERP ในปัจจุบันมีบริษัทใดบ้าง
บริษัท คอมพ์ ดีเวลลปเอร์ จำกัด เป็นบริษัทที่ให้คำปรึกษาและจำหน่ายโปรแกรมระบบบัญชี CD-ORGANIZED 2003-2008 Mfatix Company Limited. เป็นบริษัทที่จำหน่ายระบบ ERP
Almacom(Thailland) Ltd.เป็นบริษัทที่จำหน่ายระบบ ERP
Standard of Video Coding
MPEG (Moving Picture Expert Group) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนามาตรฐานภาพเคลื่อนไหวและเสียงในระบบดิจิตอล ซึ่งถือกำเนิดอย่างเป็นทางการในช่วงปี 93
ITU-T (The ITU Telecommunication Standardization Sector) เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ออกมาตรฐานทางโทรคมนาคม ของ ITU (International Telecom Union)
ปัจจุบันมีมาตรฐาน 3 แบบที่นำหลักการของ DCT
- JPEG (Joint Photographic Experts Group)
- H.261 (Video Codec For Audiovisual Services)
- MPEG (Motion Picture Experts Group)
ITU-T (The ITU Telecommunication Standardization Sector) เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ออกมาตรฐานทางโทรคมนาคม ของ ITU (International Telecom Union)
ปัจจุบันมีมาตรฐาน 3 แบบที่นำหลักการของ DCT
- JPEG (Joint Photographic Experts Group)
- H.261 (Video Codec For Audiovisual Services)
- MPEG (Motion Picture Experts Group)
แนวคิดพื้นฐาน Video Codng (ต่อ)
JPEG (Joint Photographic Experts Group) คือภาพนิ่งที่มีความต่อเนื่องของสี ที่นำมาเรียงต่อกัน เรียกว่า "Image Sequence"
Hadamard Transform อาศัยหลักการ 2 อย่างคือ
Transform การนำจุดภาพที่เป็นข้อมูลดิบมาจัดการโดยไม่ผ่านการจัดระเบียบมาก่อน จากเดิมแต่ละจุดภาพจะเป็นตัวแทนของใครของมัน จะกลายเป็นตัวแทนรวมของแต่ละบล็อกซึ่งมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งการ Transform ไม่ได้ทำให้ข้อมูลและคุณภาพลดลง
Quantization คือกรรมวิธีในการลดจำนวนบิต ที่ใช้ในการเก็บ สัมประสิทธิ์จาก Transform โดยการลดความละเอียดของค่าเหล่านั้นลงมา โดยการแทนค่าตัวแปลของสัญญาณต่างๆ ด้วยสมการทาง
คณิตศาสตร์เพื่อลดจำนวนข้อมูลที่ซ้ำ ๆ กันของภาพหรือเฟรมต่อๆ จะะใช้ matrix ในการทำ quantization
Wavelet-Based Compression
อาศัยหลักการของ EZW โดยค่าสัมประสิทธิ์ที่สำคัญจะอยู่ใน subband ที่ต่ำ และ ค่าสัมประสิทธิ์ที่มีค่ามากจะเป็นค่าที่มีความสำคัญกว่าค่าสัมประสิทธิ์ที่มีค่าน้อย
Discrete Cosine Transform (DCT) เป็นเทคนิคการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับการประมวลผลภาพ (Image Processing) แบบ Lossy ใช้ประยุกต์กับงานด้านการลดข้อมูลภาพที่เป็นข้อมูลดิจิตอล จึงนำตาราง DCT แบบสองมิติมาจัดรูปภาพ หรือส่วนของรูปภาพที่เป็น Block ขนาด 8x8 สำหรับการบีบอัด Video หลักการคือการทำให้ตัวแทนบล็อกให้มีขนาดเล็กลง ส่วนประกอบของ DCT ที่จุด (0,0) จะแทน DC (Direct Current) ส่วนที่เหลือ AC (Alternate Current)
Discrete Cosine Transform (DCT) อาศัยหลักการเข้ารหัสเอนโทรปี (Entropy Encoding) การเข้ารหัสเอนโทรปีสำหรับงานบีบอัด Video มีสองขั้นตอนคือ
- Zigzag Scan
- Zero Run-Length Coding (RLC)
- Huffman Coding
แนวคิดความพื้นฐาน Video Coding
ในการบีบอัดวีดีโอ เราจะลดความซ้ำซ้อน (Redundancy) ของ 3 ส่วนคือ
! Color Transform เนื่องจากความสามารถในการรับรู้สีของระบบประสาทการมองเห็นของมนุษย์มีน้อยกว่าความ สามารถในการรับรู้แสง
! Spatial Transform(ความซ้ำซ้อนทางพื้นที่) เนื่องจากภาพที่มีจุดภาพ (pixels) ที่เหมือนหรือคล้ายกันอยู่ แม้ไม่มีจุดภาพเหล่านี้ก็ไม่ทำให้ผู้ชมสังเกตเห็นการขาดหายได้โดยง่าย การลดความซ้ำซ้อนทางพื้นที่ ใช้วิธีการบีบอัดภาพนิ่ง เช่น DCT Wavelet
! Temporal Transform (ความซ้ำซ้อนทางเวลา) เนื่องจากเฟรมที่อยู่ใกล้กัน จะมีจุดภาพบนเฟรมที่ซ้ำกันอยู่เป็นจำนวนมาก โดยใช้ MC/ME (Motion Compensation/Motion Estimation) เข้ามาช่วย
! Color Transform เนื่องจากความสามารถในการรับรู้สีของระบบประสาทการมองเห็นของมนุษย์มีน้อยกว่าความ สามารถในการรับรู้แสง
! Spatial Transform(ความซ้ำซ้อนทางพื้นที่) เนื่องจากภาพที่มีจุดภาพ (pixels) ที่เหมือนหรือคล้ายกันอยู่ แม้ไม่มีจุดภาพเหล่านี้ก็ไม่ทำให้ผู้ชมสังเกตเห็นการขาดหายได้โดยง่าย การลดความซ้ำซ้อนทางพื้นที่ ใช้วิธีการบีบอัดภาพนิ่ง เช่น DCT Wavelet
! Temporal Transform (ความซ้ำซ้อนทางเวลา) เนื่องจากเฟรมที่อยู่ใกล้กัน จะมีจุดภาพบนเฟรมที่ซ้ำกันอยู่เป็นจำนวนมาก โดยใช้ MC/ME (Motion Compensation/Motion Estimation) เข้ามาช่วย
วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
System Implementation and System Maintenance
การบ้านครั้งที่ 8 : System Analysis
1. หากองค์กรซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูปมาใช้งาน มีวิธีปรับแก้อย่างไรให้เข้ากับระบบองค์กร
การปรับแก้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป
กรณีที่องค์การเลือกซอฟแวร์สำเร็จรูปมาใช้ในระบบงานใหม่ ก่อนที่จะมีการติดตั้งระบบ โปรแกรมเมอร์จะต้องพิจารณาว่าซอฟต์แวร์ที่ซื้อมานั้น จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างไรจึงจะมีลักษระการทำงานที่ตรงกับความต้องการขององค์กรการแก้ไขซอฟแวร์ที่ซื้อมาสามารถจำแนกได้ 3 ลักษณะดังต่อไปนี้
1. การปรับฟังก์ชันการทำงานของซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Customize Packages) เป็นการปรับเพิ่มหรือลดฟังก์ชันการทำงานของซอฟต์แวร์ที่ซื้อมา ให้สามารทำงานได้เหมาะสมกับระบบที่กำลังพัฒนา โดยการเพิ่มหรือลดฟังก์ชัน มี 3 ลักษณะดังนี้
- Configuration เป็นการเพิ่ม/ลดฟังก์ชันโดยการปรับแต่งคุณสมบัติหรือค่าพารามิเตอร์ต่างๆของซอฟต์แวร์ที่ซื้อมา ให้สามารถทำงานได้เหมาะสมกับระบบที่กำลังพัฒนา โดยการเพิ่มหรือลดฟังก์ชันที่ซอฟแวร์มีให้ เป็นต้น
- Modification เป็นการเพิ่ม/ลดฟังก์ชันโดยการเปลี่ยนแปลงโค้ดของซอฟต์แวร์ที่ซื้อมา เพื่อให้มีรูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกับระบบงานขององค์กร การแก้ไขซอฟต์แวร์สำเร็จรูปลักษณะนี้ จะต้องอาศัยโปรแกรมเมอร์ที่มีความชำนาญเป็นพิเศษ เนื่องจากซอฟต์แวร์สำเร็จรูปบางชนิดไม่อนุญาตให้มีการแก้ไจโค้ด
- Enhancement เป็นการเพิ่มฟังก์ชันโดยการเพิ่มโมดูลการทำงานของซอฟต์แวร์ที่ซื้อมา การ Customize ซอฟต์แวร์สำเร็จในรูปลักษณะนี้ไม่ใช่การแก้ไขโค้ด แต่เป็นการเพิ่มฟังก์ชันกาทำงานเข้าไปในซอฟต์แวร์
2. การประสานซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Integration Packages) เป็นการประสานซอฟต์แวร์สำเร็จรูปในงานเฉพาะด้านของแต่ละหน่วยงานเข้าด้วยกัน ให้สามารถทำงานร่วมกันได้ แต่เดิมซอฟต์แวร์สำเร็จรูปอาจจำมาใช้งานในแต่ละแผนกแตกต่างกันออกไป
3. การอัพเกรดซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Upgrading Packages) การอัพเกรดซอฟแวร์สำเร็จรูปจากผู้ผลิต อาจมีหลายลักษณะ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพ แก้ไขข้อผิดพลาด ที่พบจากซอฟต์แวร์รุ่นก่อนหน้า เป็น
สรุป การปรับแก้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปจะต้องอาศัยปัจจัยหลายประการเป็นสำคัญไม่ว่าจะเป็นความต้องการของระบบในซอฟต์แวร์สำเร็จเป็นอย่างไรสามารถที่จะมาปรับใช้กับองค์กรได้หรือไม่ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร มากพอจะลงทุนทำการปรับแก้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่องค์กรต้องนำมาพิจารณาเป็นพิเศษ และที่สำคัญเมื่อมีการแก้ไขระบบแล้วผลกระทบต่อ business flow ของระบบจะเป็นอย่างไร เกิดผลกระทบต่อระบบมากน้อยเพียงใด สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนสำคัญต่อการปรับเปลี่ยนซอฟต์สำเร็จ
2. Inspection กับ Walkthrough ต่างกันอย่างไร
Inspection คือ เป็นการทดสอบโปรแกรมที่เป็นทางการ โดยทีมงานที่รับผิดชอบจะต้องตรวจสอบโค้ดแรแกรมว่ามีข้อผิดพลาดหลักๆเกิดขึ้นหรือไม่ ข้อผิดพลาดหลักดังกล่าว คือข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นตามที่ภาษาโปรแกรมมิ่งแต่ละผลิตภัณฑ์ได้กำหนดไว้ในคู่มือ ทีมงานจะจัดทำรายการข้อผิดพลาดดังกล่าว แล้วตรวจสอบว่าโปรแกรมมีข้อผิดพลาดข้อใดบ้างทีละรายการ
Walkthrough คือ การทดสอบที่ไม่เป็นทางการ โดยทีมงานจะตรวจสอบโค้ดโปรแกรมทันทีที่โปรแกรมนั้นมีความคืบหน้า และการตรวจสอบจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนกว่าโปรแกรมจะเสร็จสิ้น ดังนั้น
Inspection กับ Walkthrough เป็นการทดสอบที่ไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างกรณีทดสอบ (Test Case ) แต่ใช้ทีมงานทดสอบตรวจสอบหาข้อผิดพลาดในเบื้องต้นแต่จะแตกต่างกันที่การทดสอบทั้งสอบแบบจะมีลักษณะการดำเนินการแตกต่างกัน การทดสอบ Inspection จะเป็นการทดสอบที่เคร่งครัดกว่าการทดสอบแบบ Walkthrough แต่ผลระยะยาวของระบบจะแตกต่างกัน อย่าง Inspection จะมีเอกสารประกอบการ ทดสอบมีผลระยะยามทำให้ระบบมีประสิทธิไม่มีปัญหาตามมาภายหลังมากนัก ส่วน Walkthrough จะแก้ไขระบบทันทีง่ายต่อการแก้ไข ไม่ต้องมานั่งวิเคราะห์ระบบจึงทำให้ไม่เสียเวลาในการค้นหา
3. Acceptance Testing คืออะไร มีอะไรบ้าง อธิบาย
คือการทดสอบการยอมรับจากผู้ใช้ หลักจากที่ได้ทดสอบความสมบูรณ์และความถูกต้องของโปรแกรมทุกระดับแล้วจะต้องนำระบบมาทดสอบ นั่นคือ กระบวนการ Acceptance Test เป็นกระบวนการที่ลูกค้าจะทำการทดสอบความการทำงาน ของโปรแกรมที่พัฒนาเสร็จสิ้นแล้วว่าตรงกับความต้องการที่ลูกค้าระบุไว้ในสัญญาที่ได้ทำไว้ตอน เริ่มโครงการพัฒนาหรือไม่ ซึ่งเป็นการทดสอบในสภาพแวดล้อมจริง โดยผู้ใช้เป็นผู้ทดสอบ และ ตัดสินใจว่าจะยอมรับระบบนั้นหรือไม่ วัตถุประสงค์การทดสอบการยอมรับ ก็เพื่อให้ผู้ใช้พิจารณาว่าระบบที่พัฒนาขึ้นมานั้นตรงตามความต้องการหรือไม่
การทดสอบการยอมรับ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
Alpha Testing เป็นการทดสอบโดยใช้ข้อมูลสมมุติ และทดสอบในสถานที่จำลอง (ไม่ใช่สถานที่ใช้งานจริง) การทดสอบชนิดนี้จะทำให้ทราบว่าระบบมีข้อผิดพลาดใดเกิดขึ้นบ้าง แบ่งออกเป็น 4 ชนิดย่อย ดังนี้
- Recovery Testing เป็นการทดสอบความสามารถในการกู้คืนระบบเมื่อระบบล่ม โดยระบบที่ดีจะต้องสามารถทำงานต่อไปได้และต้องทนต่อความผิดพลาด (Fault Tolerance) ได้ เมื่อเกิดความล้มเหลวในส่วนใดส่วนหนึ่ง จะต้องไม่ส่งผลให้ระบบหยุดการทำงานทั้งหมด ดังนั้น ในการทดสอบชนิดนี้ทีมงานจึงต้องทำระบบล้มเหลวในสถานการณ์ต่างๆ ให้มากที่สุด เพี่อค้นหาความล้มเหลวที่อาจเกิดขั้นได้ และตรวจสอบระยะเวลาการกู้คืนของระบบในแต่ละสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นการกู้คืนข้อมูล ตอลดจนการรีสตาทร์ระบบใหม่
- Security Testing เป็นการทดสอบความปลอดภัยของระบบงานว่ามีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม และมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ จากสถานการณ์การลักลอบเข้าสู่ระบบหรือการลักลอบเรียกใช้ข้อมูล
- Stress Testing เป็นการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของระบบ งานภายใต้สภาพความกดดัน เช่น จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้ใช้ป้อนข้อมูลไม่ครบทุก Field หรือจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีการเข้าถึงข้อมูลในเวลาเดียวกันจากผู้ใช้หลายๆ คน เป็นต้น
- Performance Testing เป็นการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของระบบงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันว่าระบบมี Response Time มากน้อยเพียงใด เช่น ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกัน หรือระบบเครือข่ายที่แตกต่างกัน เป็นต้น
Beta Testing คือ การทดสอบความสมบูรณ์ของระบบงานโดยใช้ข้อมูลจริงทำการทดสอบภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง การทดสอบประเภทนี้ถือว่าเป็นการซ้อมติดตั้งระบบเพื่อใช้งานจริง เนื่องจากเป็นการทดสอบระบบงานอย่างสมจริงไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ ข้อมูล ขั้นตอนการดำเนินงาน เอกสารคู่มือ การฝึกอบรม การสนับสนุนการทำงาน รวมทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาที่พบจากการทดสอบแบบ Alpha Testing ด้วย
4. การจัดการ การบำรุงรักษาระบบ ทีมงานจะต้องจัดการงานด้านใดบ้างอย่างไร
การบำรุงรักษาระบบ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงระบบภายหลังจาการส่งมอบและใช้งานมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด ปรับปรุงประสิทธิภาพ หรือดัดแปลงระบบให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้
กระบวนการบำรุงรักษาระบบมีทั้งหมด 4 ขั้นตอนดังนี้
1. เก็บรวบรวมคำร้องขอให้ปรับปรุงระบบ องค์กรจะต้องจัดเตรียมแบบฟอร์มการร้องขอให้ปรับปรุงระบบ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละองค์การ หรือ อาจจะให้แบบฟอร์มเดียวกันเพื่อขอให้พัฒนาระบบใหม่ โดยผู้ใช้จะระบุถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้ต้องมีการปรับปรุงระบบ
2. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการปรับปรุง ทีมงานจะข้อมูลการร้องขอให้ปรับปรุงระบบมาวิเคราะห์ เพื่อความเข้าใจปัญหา และจะประเมินถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น กับระบบ
3. ออกแบบการทำงานที่ต้องการปรับปรุง รวมถึงโมดูลอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด แก้ไขเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโมดูลที่ได้รับผลกระทบ ออกแบบกรณีทดสอบสำหรับโมเดลใหม่ที่ผ่านการแก้ไขแล้ว พิจารณาเอกสารข้อกำหนดความต้องการเพื่อปรับปรุงให้ตรงกับรุ่นของระบบ และปรับปรุงรายการซ่อมบำรุง
4. ปรับปรุงระบบทีมงานจะเริ่มดำเนินการแก้ไขโค้ดโปรแกรมในส่วนที่ได้รับผลการะทบทีละส่วน แล้วนำมาประสานเข้าด้วยกันเพื่อทดสอบการทำงานตามเทคนิคที่ได้กำหนดไว้ในขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบ
สิ่งที่ได้จาการบำรุงรักษาระบบ คือ ระบบที่ถูกปรับปรุงแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงครั้งที่เท่าใดก็ตาม สิ่งที่นักวิเคราะห์ระบบและทีมงานควรคำนึงถึงเสมอ คือ จะต้องปรับปรุงชุดเอกสารระบบ (System Document ) และเอกสารผุ้ใช้ (User Document) ให้เป็นปัจจุบันเสมอ
การบำรุงรักษาระบบ (System maintenance) การบำรุงรักษาระบบเป็นกิจกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างต่อเนื่องตามที่ต้องการ แนวทางในการบำรุงรักษาระบบนั้นที่นิยมใช้มี 4 แนวทางดังนี้
1. การบำรุงรักษาเพื่อให้มีความถูกต้องเสมอ (Corrective maintenance) คือ การบำรุงรักษาและแก้ไขข้อผิดพลาดของระบบที่อาจเกิดจากการออกแบบระบบ การเขียนโปรแกรม และการติดตั้งเพื่อการใช้งาน
2. การบำรุงรักษาเพื่อปรับเปลี่ยนตามความเปลี่ยนแปลง (Adaptive maintenance) คือ การบำรุงรักษาเพื่อปรับเปลี่ยนระบบตามความเปลี่ยนแปลงของข้อมูลและความต้องการของผู้ใช้
3. การบำรุงรักษาเพื่อให้ระบบทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด (Perfective maintenance) คือการบำรุงรักษาระบบโดยการปรับปรุงให้ระบบทำงานได้โดยมีประสิทธิภาพสูง และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้
4. การบำรุงรักษาเพื่อการป้องกัน (Preventive maintenance) คือ การบำรุงรักษาและการตรวจสอบระบบโดยสม่ำเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
การจัดการ การบำรุงรักษาระบบ ทีมงานจะต้องจัดการงานด้านใดบ้างดังต่อไปนี้
1. การทำความเข้าใจโปรแกรม (Program Comprehension) ต้องทำความเข้าใจกับระบบให้มากเพื่อการบำรุงรักษาที่ง่าย โดยเฉพาะโปรแกรมเมอร์ทั้งในการอ่านและทำความเข้าใจในโปรแกรมและระบบ เพื่อนทำการเปลี่ยนแปลงโค้ดโปรแกรม เครื่องมือสำคัญที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการทำความเข้าใจโปรแกรมคือ Code Browser และเอกสารประกอบโปรแกรมที่สมบูรณ์
2. การฟื้นฟูสภาพระบบ (System Rejuvenation) เป็นการฟื้นฟูสภาพระบบ คือ ความพยายามที่จะเพิ่มคุณภาพของระบบเก่าที่ใช้งานมานานแล้ว โดยกาย้อนกลับไปรื้อระบบเพื่อค้นหาข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการซ่อมรุง หรือ เพื่อปรับระบบให้มีคุณภาพมากขั้นกว่าเดิม การฟื้นฟูสภาพระบบสามารถทำได้หลายลักษณะ ดังนี้
- การปรับเอกสารใหม่ เป็นการสร้างเอกสารของระบบขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยการวิเคราะห์จากซอร์สโค้ดของซอฟต์แวร์ระบบเดิม โดยทีมงานต้องวิเคราะห์ส่วนประกอบหลายอย่างจากซอร์สโค้ด ไม่ว่าจะเป็นการเรียกใช้ตัวแปร การเรียกใช้คอมเน้นท์ เส้นทางการควบคุมการทำงานของโปรแกรม การรับ-ส่ง พารามิเตอร์ ตลอดจนเส้นทางทดสอบโปรแกรม
- การปรับโครงสร้างใหม่ เป็นการปรับโครงสร้างของซอร์สโค้สเดิมให้สามารถเข้าใจและแก้ไขได้ง่ายขึ้น
- การวิศวกรรมย้อนกลับ เป็นการนำซอร์สเก่ามาวิเคราะห์ และออกแบบใหม่ให้มีประสิทธิภาพและบำรุงรักษาง่ายขึ้น ข้อมูลที่ได้จากการรื้อซอร์สโค้ดของระบบเก่าจะมีความสมบูรณ์เพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับทีมงานและเครื่องมือที่ใช้ และเนื่องจากลักษณะของการวิศวกรรมย้อนกลับคล้ายกับการปรับเอกสารใหม่เป็นอย่างมาก การปรับเอกสารใหม่ เป็นอีกรูปแบบหนึ่งจองการวิศวกรรมย้อนกลับ
- การปรับรื้อใหม่ หมายถึงการพิจารณาและเปลี่ยนแปลงซอฟต์แวร์เดิม แล้วสร้างให้เป็นซอฟต์แวร์ในรูปแบบใหม่ การปรับรื้อใหม่เป็นการดัดแปลงซอฟต์แวร์เดิมให้อยู่ในรูปแบบใหม่หลังจากที่ได้ผ่าน การวิศวกรรมย้อนกลับ มาแล้ว โดยทั่วไปการปรับรื้อซอฟต์แวร์ใหม่ก็เพื่อเพิ่มฟังก์ชันงานใหม่ หรือ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของซอฟต์แวร์เดิม
สรุปสำหรับการบำรุงรักษานั้นทำให้เกิดต้นทุนกับระบบมาก จะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้ต้นทุนในการบำรุงรักษาระบบของแต่ละองค์กรตากต่างกันมีหลายประการ เช่น จำนวนข้อผิดพลาดที่แฝงอยู่ในระบบ คุณภาพของงานเอกสาร คุณภาพของทีมงานบำรุงรักษาระบบเป็นต้น ดังนี้ การบำรุงรักษาระบบจึงต้องดำเนินการอย่างเป็นลำดับขั้นตอนได้แก่
1. เก็บรวบรวมคำร้องขอให้ปรับปรุงระบบ
2. วิเคราะห์ข้อมูลการร้องขอให้ปรับปรุงระบบ
3. วิเคราะห์ข้อมูลการร้องขอให้ปรับปรุงระบบ
4. ออกแบบการทำงานที่ต้องการปรับปรุง
5. ปรับปรุงระบบ
แต่ละขั้นตอนระบบสามรถช่วยให้ต้นทุนการบำรุงรักษาไม่สูงมากนักจนเกินไป
1. หากองค์กรซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูปมาใช้งาน มีวิธีปรับแก้อย่างไรให้เข้ากับระบบองค์กร
การปรับแก้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป
กรณีที่องค์การเลือกซอฟแวร์สำเร็จรูปมาใช้ในระบบงานใหม่ ก่อนที่จะมีการติดตั้งระบบ โปรแกรมเมอร์จะต้องพิจารณาว่าซอฟต์แวร์ที่ซื้อมานั้น จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างไรจึงจะมีลักษระการทำงานที่ตรงกับความต้องการขององค์กรการแก้ไขซอฟแวร์ที่ซื้อมาสามารถจำแนกได้ 3 ลักษณะดังต่อไปนี้
1. การปรับฟังก์ชันการทำงานของซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Customize Packages) เป็นการปรับเพิ่มหรือลดฟังก์ชันการทำงานของซอฟต์แวร์ที่ซื้อมา ให้สามารทำงานได้เหมาะสมกับระบบที่กำลังพัฒนา โดยการเพิ่มหรือลดฟังก์ชัน มี 3 ลักษณะดังนี้
- Configuration เป็นการเพิ่ม/ลดฟังก์ชันโดยการปรับแต่งคุณสมบัติหรือค่าพารามิเตอร์ต่างๆของซอฟต์แวร์ที่ซื้อมา ให้สามารถทำงานได้เหมาะสมกับระบบที่กำลังพัฒนา โดยการเพิ่มหรือลดฟังก์ชันที่ซอฟแวร์มีให้ เป็นต้น
- Modification เป็นการเพิ่ม/ลดฟังก์ชันโดยการเปลี่ยนแปลงโค้ดของซอฟต์แวร์ที่ซื้อมา เพื่อให้มีรูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกับระบบงานขององค์กร การแก้ไขซอฟต์แวร์สำเร็จรูปลักษณะนี้ จะต้องอาศัยโปรแกรมเมอร์ที่มีความชำนาญเป็นพิเศษ เนื่องจากซอฟต์แวร์สำเร็จรูปบางชนิดไม่อนุญาตให้มีการแก้ไจโค้ด
- Enhancement เป็นการเพิ่มฟังก์ชันโดยการเพิ่มโมดูลการทำงานของซอฟต์แวร์ที่ซื้อมา การ Customize ซอฟต์แวร์สำเร็จในรูปลักษณะนี้ไม่ใช่การแก้ไขโค้ด แต่เป็นการเพิ่มฟังก์ชันกาทำงานเข้าไปในซอฟต์แวร์
2. การประสานซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Integration Packages) เป็นการประสานซอฟต์แวร์สำเร็จรูปในงานเฉพาะด้านของแต่ละหน่วยงานเข้าด้วยกัน ให้สามารถทำงานร่วมกันได้ แต่เดิมซอฟต์แวร์สำเร็จรูปอาจจำมาใช้งานในแต่ละแผนกแตกต่างกันออกไป
3. การอัพเกรดซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Upgrading Packages) การอัพเกรดซอฟแวร์สำเร็จรูปจากผู้ผลิต อาจมีหลายลักษณะ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพ แก้ไขข้อผิดพลาด ที่พบจากซอฟต์แวร์รุ่นก่อนหน้า เป็น
สรุป การปรับแก้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปจะต้องอาศัยปัจจัยหลายประการเป็นสำคัญไม่ว่าจะเป็นความต้องการของระบบในซอฟต์แวร์สำเร็จเป็นอย่างไรสามารถที่จะมาปรับใช้กับองค์กรได้หรือไม่ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร มากพอจะลงทุนทำการปรับแก้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่องค์กรต้องนำมาพิจารณาเป็นพิเศษ และที่สำคัญเมื่อมีการแก้ไขระบบแล้วผลกระทบต่อ business flow ของระบบจะเป็นอย่างไร เกิดผลกระทบต่อระบบมากน้อยเพียงใด สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนสำคัญต่อการปรับเปลี่ยนซอฟต์สำเร็จ
2. Inspection กับ Walkthrough ต่างกันอย่างไร
Inspection คือ เป็นการทดสอบโปรแกรมที่เป็นทางการ โดยทีมงานที่รับผิดชอบจะต้องตรวจสอบโค้ดแรแกรมว่ามีข้อผิดพลาดหลักๆเกิดขึ้นหรือไม่ ข้อผิดพลาดหลักดังกล่าว คือข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นตามที่ภาษาโปรแกรมมิ่งแต่ละผลิตภัณฑ์ได้กำหนดไว้ในคู่มือ ทีมงานจะจัดทำรายการข้อผิดพลาดดังกล่าว แล้วตรวจสอบว่าโปรแกรมมีข้อผิดพลาดข้อใดบ้างทีละรายการ
Walkthrough คือ การทดสอบที่ไม่เป็นทางการ โดยทีมงานจะตรวจสอบโค้ดโปรแกรมทันทีที่โปรแกรมนั้นมีความคืบหน้า และการตรวจสอบจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนกว่าโปรแกรมจะเสร็จสิ้น ดังนั้น
Inspection กับ Walkthrough เป็นการทดสอบที่ไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างกรณีทดสอบ (Test Case ) แต่ใช้ทีมงานทดสอบตรวจสอบหาข้อผิดพลาดในเบื้องต้นแต่จะแตกต่างกันที่การทดสอบทั้งสอบแบบจะมีลักษณะการดำเนินการแตกต่างกัน การทดสอบ Inspection จะเป็นการทดสอบที่เคร่งครัดกว่าการทดสอบแบบ Walkthrough แต่ผลระยะยาวของระบบจะแตกต่างกัน อย่าง Inspection จะมีเอกสารประกอบการ ทดสอบมีผลระยะยามทำให้ระบบมีประสิทธิไม่มีปัญหาตามมาภายหลังมากนัก ส่วน Walkthrough จะแก้ไขระบบทันทีง่ายต่อการแก้ไข ไม่ต้องมานั่งวิเคราะห์ระบบจึงทำให้ไม่เสียเวลาในการค้นหา
3. Acceptance Testing คืออะไร มีอะไรบ้าง อธิบาย
คือการทดสอบการยอมรับจากผู้ใช้ หลักจากที่ได้ทดสอบความสมบูรณ์และความถูกต้องของโปรแกรมทุกระดับแล้วจะต้องนำระบบมาทดสอบ นั่นคือ กระบวนการ Acceptance Test เป็นกระบวนการที่ลูกค้าจะทำการทดสอบความการทำงาน ของโปรแกรมที่พัฒนาเสร็จสิ้นแล้วว่าตรงกับความต้องการที่ลูกค้าระบุไว้ในสัญญาที่ได้ทำไว้ตอน เริ่มโครงการพัฒนาหรือไม่ ซึ่งเป็นการทดสอบในสภาพแวดล้อมจริง โดยผู้ใช้เป็นผู้ทดสอบ และ ตัดสินใจว่าจะยอมรับระบบนั้นหรือไม่ วัตถุประสงค์การทดสอบการยอมรับ ก็เพื่อให้ผู้ใช้พิจารณาว่าระบบที่พัฒนาขึ้นมานั้นตรงตามความต้องการหรือไม่
การทดสอบการยอมรับ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
Alpha Testing เป็นการทดสอบโดยใช้ข้อมูลสมมุติ และทดสอบในสถานที่จำลอง (ไม่ใช่สถานที่ใช้งานจริง) การทดสอบชนิดนี้จะทำให้ทราบว่าระบบมีข้อผิดพลาดใดเกิดขึ้นบ้าง แบ่งออกเป็น 4 ชนิดย่อย ดังนี้
- Recovery Testing เป็นการทดสอบความสามารถในการกู้คืนระบบเมื่อระบบล่ม โดยระบบที่ดีจะต้องสามารถทำงานต่อไปได้และต้องทนต่อความผิดพลาด (Fault Tolerance) ได้ เมื่อเกิดความล้มเหลวในส่วนใดส่วนหนึ่ง จะต้องไม่ส่งผลให้ระบบหยุดการทำงานทั้งหมด ดังนั้น ในการทดสอบชนิดนี้ทีมงานจึงต้องทำระบบล้มเหลวในสถานการณ์ต่างๆ ให้มากที่สุด เพี่อค้นหาความล้มเหลวที่อาจเกิดขั้นได้ และตรวจสอบระยะเวลาการกู้คืนของระบบในแต่ละสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นการกู้คืนข้อมูล ตอลดจนการรีสตาทร์ระบบใหม่
- Security Testing เป็นการทดสอบความปลอดภัยของระบบงานว่ามีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม และมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ จากสถานการณ์การลักลอบเข้าสู่ระบบหรือการลักลอบเรียกใช้ข้อมูล
- Stress Testing เป็นการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของระบบ งานภายใต้สภาพความกดดัน เช่น จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้ใช้ป้อนข้อมูลไม่ครบทุก Field หรือจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีการเข้าถึงข้อมูลในเวลาเดียวกันจากผู้ใช้หลายๆ คน เป็นต้น
- Performance Testing เป็นการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของระบบงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันว่าระบบมี Response Time มากน้อยเพียงใด เช่น ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกัน หรือระบบเครือข่ายที่แตกต่างกัน เป็นต้น
Beta Testing คือ การทดสอบความสมบูรณ์ของระบบงานโดยใช้ข้อมูลจริงทำการทดสอบภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง การทดสอบประเภทนี้ถือว่าเป็นการซ้อมติดตั้งระบบเพื่อใช้งานจริง เนื่องจากเป็นการทดสอบระบบงานอย่างสมจริงไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ ข้อมูล ขั้นตอนการดำเนินงาน เอกสารคู่มือ การฝึกอบรม การสนับสนุนการทำงาน รวมทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาที่พบจากการทดสอบแบบ Alpha Testing ด้วย
4. การจัดการ การบำรุงรักษาระบบ ทีมงานจะต้องจัดการงานด้านใดบ้างอย่างไร
การบำรุงรักษาระบบ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงระบบภายหลังจาการส่งมอบและใช้งานมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด ปรับปรุงประสิทธิภาพ หรือดัดแปลงระบบให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้
กระบวนการบำรุงรักษาระบบมีทั้งหมด 4 ขั้นตอนดังนี้
1. เก็บรวบรวมคำร้องขอให้ปรับปรุงระบบ องค์กรจะต้องจัดเตรียมแบบฟอร์มการร้องขอให้ปรับปรุงระบบ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละองค์การ หรือ อาจจะให้แบบฟอร์มเดียวกันเพื่อขอให้พัฒนาระบบใหม่ โดยผู้ใช้จะระบุถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้ต้องมีการปรับปรุงระบบ
2. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการปรับปรุง ทีมงานจะข้อมูลการร้องขอให้ปรับปรุงระบบมาวิเคราะห์ เพื่อความเข้าใจปัญหา และจะประเมินถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น กับระบบ
3. ออกแบบการทำงานที่ต้องการปรับปรุง รวมถึงโมดูลอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด แก้ไขเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโมดูลที่ได้รับผลกระทบ ออกแบบกรณีทดสอบสำหรับโมเดลใหม่ที่ผ่านการแก้ไขแล้ว พิจารณาเอกสารข้อกำหนดความต้องการเพื่อปรับปรุงให้ตรงกับรุ่นของระบบ และปรับปรุงรายการซ่อมบำรุง
4. ปรับปรุงระบบทีมงานจะเริ่มดำเนินการแก้ไขโค้ดโปรแกรมในส่วนที่ได้รับผลการะทบทีละส่วน แล้วนำมาประสานเข้าด้วยกันเพื่อทดสอบการทำงานตามเทคนิคที่ได้กำหนดไว้ในขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบ
สิ่งที่ได้จาการบำรุงรักษาระบบ คือ ระบบที่ถูกปรับปรุงแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงครั้งที่เท่าใดก็ตาม สิ่งที่นักวิเคราะห์ระบบและทีมงานควรคำนึงถึงเสมอ คือ จะต้องปรับปรุงชุดเอกสารระบบ (System Document ) และเอกสารผุ้ใช้ (User Document) ให้เป็นปัจจุบันเสมอ
การบำรุงรักษาระบบ (System maintenance) การบำรุงรักษาระบบเป็นกิจกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างต่อเนื่องตามที่ต้องการ แนวทางในการบำรุงรักษาระบบนั้นที่นิยมใช้มี 4 แนวทางดังนี้
1. การบำรุงรักษาเพื่อให้มีความถูกต้องเสมอ (Corrective maintenance) คือ การบำรุงรักษาและแก้ไขข้อผิดพลาดของระบบที่อาจเกิดจากการออกแบบระบบ การเขียนโปรแกรม และการติดตั้งเพื่อการใช้งาน
2. การบำรุงรักษาเพื่อปรับเปลี่ยนตามความเปลี่ยนแปลง (Adaptive maintenance) คือ การบำรุงรักษาเพื่อปรับเปลี่ยนระบบตามความเปลี่ยนแปลงของข้อมูลและความต้องการของผู้ใช้
3. การบำรุงรักษาเพื่อให้ระบบทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด (Perfective maintenance) คือการบำรุงรักษาระบบโดยการปรับปรุงให้ระบบทำงานได้โดยมีประสิทธิภาพสูง และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้
4. การบำรุงรักษาเพื่อการป้องกัน (Preventive maintenance) คือ การบำรุงรักษาและการตรวจสอบระบบโดยสม่ำเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
การจัดการ การบำรุงรักษาระบบ ทีมงานจะต้องจัดการงานด้านใดบ้างดังต่อไปนี้
1. การทำความเข้าใจโปรแกรม (Program Comprehension) ต้องทำความเข้าใจกับระบบให้มากเพื่อการบำรุงรักษาที่ง่าย โดยเฉพาะโปรแกรมเมอร์ทั้งในการอ่านและทำความเข้าใจในโปรแกรมและระบบ เพื่อนทำการเปลี่ยนแปลงโค้ดโปรแกรม เครื่องมือสำคัญที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการทำความเข้าใจโปรแกรมคือ Code Browser และเอกสารประกอบโปรแกรมที่สมบูรณ์
2. การฟื้นฟูสภาพระบบ (System Rejuvenation) เป็นการฟื้นฟูสภาพระบบ คือ ความพยายามที่จะเพิ่มคุณภาพของระบบเก่าที่ใช้งานมานานแล้ว โดยกาย้อนกลับไปรื้อระบบเพื่อค้นหาข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการซ่อมรุง หรือ เพื่อปรับระบบให้มีคุณภาพมากขั้นกว่าเดิม การฟื้นฟูสภาพระบบสามารถทำได้หลายลักษณะ ดังนี้
- การปรับเอกสารใหม่ เป็นการสร้างเอกสารของระบบขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยการวิเคราะห์จากซอร์สโค้ดของซอฟต์แวร์ระบบเดิม โดยทีมงานต้องวิเคราะห์ส่วนประกอบหลายอย่างจากซอร์สโค้ด ไม่ว่าจะเป็นการเรียกใช้ตัวแปร การเรียกใช้คอมเน้นท์ เส้นทางการควบคุมการทำงานของโปรแกรม การรับ-ส่ง พารามิเตอร์ ตลอดจนเส้นทางทดสอบโปรแกรม
- การปรับโครงสร้างใหม่ เป็นการปรับโครงสร้างของซอร์สโค้สเดิมให้สามารถเข้าใจและแก้ไขได้ง่ายขึ้น
- การวิศวกรรมย้อนกลับ เป็นการนำซอร์สเก่ามาวิเคราะห์ และออกแบบใหม่ให้มีประสิทธิภาพและบำรุงรักษาง่ายขึ้น ข้อมูลที่ได้จากการรื้อซอร์สโค้ดของระบบเก่าจะมีความสมบูรณ์เพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับทีมงานและเครื่องมือที่ใช้ และเนื่องจากลักษณะของการวิศวกรรมย้อนกลับคล้ายกับการปรับเอกสารใหม่เป็นอย่างมาก การปรับเอกสารใหม่ เป็นอีกรูปแบบหนึ่งจองการวิศวกรรมย้อนกลับ
- การปรับรื้อใหม่ หมายถึงการพิจารณาและเปลี่ยนแปลงซอฟต์แวร์เดิม แล้วสร้างให้เป็นซอฟต์แวร์ในรูปแบบใหม่ การปรับรื้อใหม่เป็นการดัดแปลงซอฟต์แวร์เดิมให้อยู่ในรูปแบบใหม่หลังจากที่ได้ผ่าน การวิศวกรรมย้อนกลับ มาแล้ว โดยทั่วไปการปรับรื้อซอฟต์แวร์ใหม่ก็เพื่อเพิ่มฟังก์ชันงานใหม่ หรือ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของซอฟต์แวร์เดิม
สรุปสำหรับการบำรุงรักษานั้นทำให้เกิดต้นทุนกับระบบมาก จะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้ต้นทุนในการบำรุงรักษาระบบของแต่ละองค์กรตากต่างกันมีหลายประการ เช่น จำนวนข้อผิดพลาดที่แฝงอยู่ในระบบ คุณภาพของงานเอกสาร คุณภาพของทีมงานบำรุงรักษาระบบเป็นต้น ดังนี้ การบำรุงรักษาระบบจึงต้องดำเนินการอย่างเป็นลำดับขั้นตอนได้แก่
1. เก็บรวบรวมคำร้องขอให้ปรับปรุงระบบ
2. วิเคราะห์ข้อมูลการร้องขอให้ปรับปรุงระบบ
3. วิเคราะห์ข้อมูลการร้องขอให้ปรับปรุงระบบ
4. ออกแบบการทำงานที่ต้องการปรับปรุง
5. ปรับปรุงระบบ
แต่ละขั้นตอนระบบสามรถช่วยให้ต้นทุนการบำรุงรักษาไม่สูงมากนักจนเกินไป
วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
Risk Manangement
Risk Management มีขั้นตอนอะไรบ้าง
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) เป็นงานด้านหนึ่งของการบริหารโครงการ อันเนื่องมาจากการประสบปัญญาทำให้งานไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ หรือการใช้จ่ายงบประมาณเกินวงเงินของโครงการ หรือการส่งมอบงานที่ลูกค้าไม่ถึงพอใจจนต้องปรับปรุงแก้ไข การป้องกันความเสี่ยงข้างต้น อาจดำเนินการได้โดยการบริหารความเสี่ยง หรือ การควบคุมไม่ให้ภาวะคุกคามเหล่านั้นเกิดขึ้นกับโครงการ
ความเสี่ยงอาจเกิดจากหลายสาเหตุโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อจำกัดของโครงการและความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากอิทธิพลการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมโครงการ จนเป็นเหตุให้การคำนวณกิจกรรมของโครงการคาดเคลื่อนจากความจริง ผลที่ตามมาที่เห็นได้ชัดเจนคือ หากยอมรับความล่าช้านั้น ก็ต้องเพิ่มงบประมาณและผลกระทบคือ ค่าใช้จ่ายเกินกว่าที่กำหนดไว้ วันสิ้นสุดของโครงการผิดพลาดและก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของธุรกิจหรือโครงการ ในกรณีที่ต้องจัดสรรทรัพยากรเพิ่มเติมผลก็จะจบลงที่ค่าใช้จ่ายของโครงการเกินวงเงินที่กำหนดไว้
การบริหารความเสี่ยงของโครงการประกอบด้วย 6 ขั้นตอนประกอบด้วย
1. การวางแผน (Planning)
2. การระบุ ความเสี่ยง (Identification)
3. การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ (Quality Analysis)
4. การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis)
5. การวางแผนตอบสนองความเสี่ยง (Response Planning)
6. การตรวจติดตาม (Monitoring) และการควบคุม (Control
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) เป็นงานด้านหนึ่งของการบริหารโครงการ อันเนื่องมาจากการประสบปัญญาทำให้งานไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ หรือการใช้จ่ายงบประมาณเกินวงเงินของโครงการ หรือการส่งมอบงานที่ลูกค้าไม่ถึงพอใจจนต้องปรับปรุงแก้ไข การป้องกันความเสี่ยงข้างต้น อาจดำเนินการได้โดยการบริหารความเสี่ยง หรือ การควบคุมไม่ให้ภาวะคุกคามเหล่านั้นเกิดขึ้นกับโครงการ
ความเสี่ยงอาจเกิดจากหลายสาเหตุโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อจำกัดของโครงการและความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากอิทธิพลการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมโครงการ จนเป็นเหตุให้การคำนวณกิจกรรมของโครงการคาดเคลื่อนจากความจริง ผลที่ตามมาที่เห็นได้ชัดเจนคือ หากยอมรับความล่าช้านั้น ก็ต้องเพิ่มงบประมาณและผลกระทบคือ ค่าใช้จ่ายเกินกว่าที่กำหนดไว้ วันสิ้นสุดของโครงการผิดพลาดและก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของธุรกิจหรือโครงการ ในกรณีที่ต้องจัดสรรทรัพยากรเพิ่มเติมผลก็จะจบลงที่ค่าใช้จ่ายของโครงการเกินวงเงินที่กำหนดไว้
การบริหารความเสี่ยงของโครงการประกอบด้วย 6 ขั้นตอนประกอบด้วย
1. การวางแผน (Planning)
2. การระบุ ความเสี่ยง (Identification)
3. การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ (Quality Analysis)
4. การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis)
5. การวางแผนตอบสนองความเสี่ยง (Response Planning)
6. การตรวจติดตาม (Monitoring) และการควบคุม (Control
วิเคราะห์ระบบงาน ERP
ExSys Co., Ltd. เป็นบริษัทที่มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในด้านการให้คำปรึกษา นำเสนอทางเลือกของซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศด้ วย ขั้น ตอ นก า ร ว า ง ร ะบ บที่ มีประสิทธิภาพ โดยทีมงานมืออาชีพตรวจสอบได้ทุกขั้นตอนรวมถึงบริการหลังการขายที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับธุรกิจ ว่าสามารถใช้งานจากอฟแวร์ได้อย่างคุ้มค่า และ เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเน้นการวางระบบให้อยู่บนพื้นฐานการทำ งานตามลักษณะเฉพาะของแต่ละประเภทธุรกิจ และง่ายต่อการใช้งานของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ
ลักษณะการพัฒนาระบบของบริษัท
Build to Success….
จากนโยบายของบริษัทจะเห็นได้ว่า บริษัทมีแนวทางการพัฒนาระบบแบบ Waterfall และ Adapted Waterfall ซึ่งในแต่ละขั้นตอนนั้นสามารถนำมาแก้ไขข้อผิดพลาดหรือสามารถย้อนกลับได้ตามส่วนได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญว่าต้องการระบบงานแบบไหน
ลักษณะการพัฒนาระบบ จะมีการแบ่งงานออกเป็น Phases โดยยึดหลักการพัฒนาแบบ SDLC แบ่งออกเป็น Phases ประกอบดัวยดังนี้
- Planning Phase
- Analysis Phase
- Design Phase
- Implement Phase
เริ่มต้นการวางแผนงานให้กับระบบก่อน ว่าแต่ละขั้นตอนจะใช้เวลา ผู้พัฒนา พร้อมทั้งต้นทุนในการพัฒนาอย่างไร และกำหนดเวลาในการส่งมอบงานให้กลับลูกค้าแต่ละ Phases เป็นอย่างไร หลังจากนั้ก็เริ่มการทำงานใน Phase การวิเคราะห์โดยเริ่มจากการเก็บ Requirement ของลูกค้า แล้วนำกลับมาวิเคราะห์และออกแบบตามความต้องการของลูกค้า เมื่อมีการวิเคราะห์และออกแบบในส่วนของ Requirements เรียบร้อยแล้วจะนำกลับไปนำเสนอลูกค้า ถ้าเกิดไม่มีปัญหา หรือ ตรงตามความต้องการของลูกค้าแล้วก็จะมีการเซ็นสัญญายอมรับงานในส่วนนั้น กรณีที่ไม่ตรงตามความต้องการของลูกค้าก็นำกลับมาแก้ไขใหม่แล้วนำกลับไปเสนอลูกค้าใหม่อีกที เมื่อลูกค้ามีการเซ็นสัญญาในส่วนงานนั้นแล้ว ถ้าหากต้องการแก้ไขก็จะมีการคิดค่าใช้จ่ายใหม่ หรือ อาจจะมีการตกลงกันอีกที จะมีการพัฒนาใน Phases ตามขั้นตอนต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีพัฒนาสำเร็จ พร้อมทั้งติดตั้งระบบและ Training จนเสร็จเรียบร้อย
ทั้งนี้การพัฒนาระบบของบริษัทฯ ก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นแบบ Waterfall และ Adapted Waterfall เสมอไป การพัฒนาระบบจะขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญและ Business Rule ของธุรกิจและความต้องการทางธุรกิจ
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้บริการด้านซอฟท์แวร์ อื่น เพื่อรองรับการทำงานของลูกค้าให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นด้วย Add on Package อาทิ Point of Sale (POS), Barcode, RFID
ลักษณะการพัฒนาระบบของบริษัท
Build to Success….
จากนโยบายของบริษัทจะเห็นได้ว่า บริษัทมีแนวทางการพัฒนาระบบแบบ Waterfall และ Adapted Waterfall ซึ่งในแต่ละขั้นตอนนั้นสามารถนำมาแก้ไขข้อผิดพลาดหรือสามารถย้อนกลับได้ตามส่วนได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญว่าต้องการระบบงานแบบไหน
ลักษณะการพัฒนาระบบ จะมีการแบ่งงานออกเป็น Phases โดยยึดหลักการพัฒนาแบบ SDLC แบ่งออกเป็น Phases ประกอบดัวยดังนี้
- Planning Phase
- Analysis Phase
- Design Phase
- Implement Phase
เริ่มต้นการวางแผนงานให้กับระบบก่อน ว่าแต่ละขั้นตอนจะใช้เวลา ผู้พัฒนา พร้อมทั้งต้นทุนในการพัฒนาอย่างไร และกำหนดเวลาในการส่งมอบงานให้กลับลูกค้าแต่ละ Phases เป็นอย่างไร หลังจากนั้ก็เริ่มการทำงานใน Phase การวิเคราะห์โดยเริ่มจากการเก็บ Requirement ของลูกค้า แล้วนำกลับมาวิเคราะห์และออกแบบตามความต้องการของลูกค้า เมื่อมีการวิเคราะห์และออกแบบในส่วนของ Requirements เรียบร้อยแล้วจะนำกลับไปนำเสนอลูกค้า ถ้าเกิดไม่มีปัญหา หรือ ตรงตามความต้องการของลูกค้าแล้วก็จะมีการเซ็นสัญญายอมรับงานในส่วนนั้น กรณีที่ไม่ตรงตามความต้องการของลูกค้าก็นำกลับมาแก้ไขใหม่แล้วนำกลับไปเสนอลูกค้าใหม่อีกที เมื่อลูกค้ามีการเซ็นสัญญาในส่วนงานนั้นแล้ว ถ้าหากต้องการแก้ไขก็จะมีการคิดค่าใช้จ่ายใหม่ หรือ อาจจะมีการตกลงกันอีกที จะมีการพัฒนาใน Phases ตามขั้นตอนต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีพัฒนาสำเร็จ พร้อมทั้งติดตั้งระบบและ Training จนเสร็จเรียบร้อย
ทั้งนี้การพัฒนาระบบของบริษัทฯ ก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นแบบ Waterfall และ Adapted Waterfall เสมอไป การพัฒนาระบบจะขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญและ Business Rule ของธุรกิจและความต้องการทางธุรกิจ
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้บริการด้านซอฟท์แวร์ อื่น เพื่อรองรับการทำงานของลูกค้าให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นด้วย Add on Package อาทิ Point of Sale (POS), Barcode, RFID
วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
Graphic User Interface :GUI
การบ้านครั้งที่ 7
1. การโต้ตอบกับผู้ใช้มีรูปแบบใดบ้าง อธิบาย
การออกแบบส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) เป็นการออกแบบจอภาพเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถ
โต้ตอบกับระบบได้ตามความต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนนำเสนอสารสนเทศกลับมายังผู้ใช้ เรียกอีกอย่างว่า การออกแบบจอภาพ (Screen Design) การออกแบบส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) นิยมใช้แบบกราฟิก (Graphic User Interface :GUI) มีรูปแบบดังนี้ คือ
1.1 การโต้ตอบด้วยคำสั่ง (Command Language Interaction)
- เป็นการโต้ตอบกับระบบโดยที่ผู้ใช้จะต้องพิมพ์คำสั่งลงในช่องป้อนคำสั่ง เพื่อกระตุ้นให้เกิด
การทำงานในระบบ
- ผู้ใช้จะต้องจำคำสั่ง ไวยากรณ์ และกฎเกณฑ์ต่างๆ เช่น ผู้ใช้ที่ชำนาญการใช้ระบบปฏิบัติการ DOS
- ลดความนิยมในปัจจุบัน
1.2 การโต้ตอบด้วยเมนูคำสั่ง (Menu Interaction) เป็นการโต้ตอบกับระบบด้วยการแสดงเมนูคำสั่ง โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องป้อนคำสั่งเองรูปแบบเมนูมีดังนี้ คือ
1.2.1 Pull-down Menu เมนูแสดงคำสั่ง โดยแบ่งรายการของคำสั่งเป็นหมวดหมู่ เมื่อผู้ใช้
คลิกจะแสดงรายการคำสั่งจากบนลงล่าง
1.2.2 Pop-up Menu เมนูแสดงคำสั่ง เมื่อผู้ใช้คลิกเลือกวัตถุ หรือ object ใด ๆ ในจอภาพ
คำสั่งหรือคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับ object นั้นจะถูกแสดงออกมา
1.2 การโต้ตอบด้วยแบบฟอร์ม (Form Interaction)
- เป็นการโต้ตอบที่ผู้ใช้ระบบจะต้องป้อนข้อมูลลงในช่องว่างที่อยู่ในแบบฟอร์มที่แสดงหน้า
จอคอมพิวเตอร์
- คล้ายการกรอกแบบฟอร์มลงในกระดาษ
- ชื่อของช่องป้อนข้อมูลต้องสื่อความหมาย
- แบ่งส่วนของข้อมูลบนฟอร์มให้เหมาะสม
- ควรแสดงข้อมูลเริ่มต้นให้กับช่องป้อนข้อมูลที่ต้องใช้ข้อมูลนั้นบ่อยครั้ง
- ช่องป้อนข้อมูลไม่ควรยาวมากจนเกินไป
ลักษณะของแบบฟอร์มที่ดี
- ควรจะมีชื่อของช่องป้อนข้อมูลที่สื่อความหมายชัดเจน
- มีการแบ่งส่วนของข้อมูลบนแบบฟอร์ม
- ควรแสดงค่าข้อมูลเริ่มต้นให้กับช่องป้อนข้อมูลที่ต้องใช้ข้อมูลนั้นบ่อยครั้ง
- ช่องป้อนข้อมูลของแบบฟอร์มไม่ควรมีความยาวมากเกินไป
1.4 การโต้ตอบด้วยการทำงานเชิงวัตถุ (Object-Based Interaction)
- เป็นการโต้ตอบกับระบบที่ใช้สัญลักษณ์
- สัญลักษณ์เป็นตัวแทนคำสั่งที่ใช้ในการปฏิบัติงาน
- สัญลักษณ์รูปภาพแทนคำสั่งการทำงานเรียกว่า ไอคอน (Icon)
- ข้อดีคือ ประหยัดพื้นที่บนหน้าจอเนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นรูปภาพที่มีขนาดเล็ก
1.5 การโต้ตอบด้วยภาษามนุษย์ (Natural Language Interaction)
- เป็นการโต้ตอบกับระบบด้วยภาษามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นประโยคภาษาพูดหรือเขียน
- อยู่บนพื้นฐานของการประมวลผลภาษาธรรมชาติ
- เป็นเทคโนโลยีสำหรับอนาคต
รูปแบบการโต้ตอบ
ข้อดี
ข้อเสีย
การโต้ตอบกับระบบ
โดยตรง
รวดเร็วและสื่อความหมายได้ชัดเจน
ง่ายต่อการเรียนรู้
ยากต่อการพัฒนา
การเลือกเมนูคำสั่ง
ช่วยลดข้อผิดพลาดในการใช้งานของ
ผู้ใช้ได้ เนื่องจากผู้ใช้ไม่ต้องพิมพ์
คำสั่งเอง
ใช้งานได้ช้ากว่าการพิมพ์คำสั่งสำหรับผู้ใช้
ที่เชี่ยวชาญ และหากมีเมนูจำนวนมากจะทำ
ให้ดูซับซ้อน
การป้อนข้อมูลลงใน
ฟอร์ม
ป้อนข้อมูลได้ง่าย
ต้องใช้พื้นที่ในหน้าจอ และเสี่ยงต่อการเกิด
ข้อผิดพลาด หากผู้ใช้ป้อนข้อมูลผิด
การโต้ตอบด้วย
ภาษาธรรมชาติ
ง่ายต่อการใช้งานสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
ต้องอาศัยกลไกแปลภาษาที่มีประสิทธิภาพ
สูงและต้องเพิ่มจำนวนคำและประโยค
ให้กับตัวแปลภาษาจำนวนมาก
2. อธิบายขั้นตอน การออกแบบ ฟอร์ม/รายงาน และ ส่วนประสานงานกับผู้ใช้
2.1 การออกแบบฟอร์มและรายงาน
ในระบบงานใด ๆ เมื่อมีการดำเนินงานจะมีข้อมูลที่เข้าสู่ระบบ (Input) เพื่อประมวลผล และทำให้ได้ข้อมูลออกจากระบบ (Output) โดยการทำงานภายในของระบบเองก็จะมีข้อมูลที่เข้าสู่แต่ละ Process เพื่อประมวลผลให้ได้เป็นข้อมูลออกจาก Process นั้นไปยัง Process อื่น ข้อมูลที่เข้าและออกจากระบบหรือข้อมูลภายในระบบ จะอยู่ในรูปของแบบฟอร์มและรายงาน (Forms/Report) ต่าง ๆ ดังนั้นหน้าที่ของนักวิเคราะห์ระบบในกิจกรรมนี้คือ จะต้องออกแบบหรือสร้างตัวต้นแบบ (Prototypes) ของแบบฟอร์มและรายงานที่เกิดขึ้นในระบบที่กำลังพัฒนา เพื่อนำเสนอต่อผู้ใช้งานและผู้บริหารเพื่อเป็นการยืนยันความถูกต้องของการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการระบบใหม่
การที่จะทราบได้ว่าระบบงานที่กำลังพัฒนามีแบบฟอร์มหรือรายงานใดบ้าง นักวิเคราะห์ระบบสามารถตรวจสอบได้จาก DFD โดยจะพบแบบฟอร์มได้จาก Input Data Flows ที่วิ่งเข้าสู่แต่ละ Process ส่วน Output Data Flows ที่วิ่งออกจาก Process นั้นจะทำให้ทราบว่ามีรายงานอะไรบ้าง
สำหรับ E-R Diagram จะทำให้นักวิเคราะห์ระบบทราบได้ว่าภายในแบบฟอร์มและรายงานเหล่านั้นจะต้องประกอบไปด้วยข้อมูลย่อย (Data Element) อะไรบ้าง โดยสังเกตจาก Attribute ที่ปรากฏอยู่กับ Entites ที่เกี่ยวข้องกับแบบฟอร์มและรายงานใด ๆ
2.1.1 หลักในการออกแบบ แบบฟอร์ม และรายงาน
1. ชื่อหัวเรื่องมีความหมายชัดเจน (Meaningful Titles)
- เข้าใจง่าย สื่อความหมายถึงเนื้อหาในแบบฟอร์มและรายงานที่ชัดเจน
- แสดงวันที่จัดทำรายงานที่ถูกต้อง
2. แสดงสารสนเทศที่จำเป็นต่อการใช้งาน (Meaningful Information)
- สารสนเทศที่อยู่ในแบบฟอร์ม และรายงานต้องเป็นสารสนเทศที่จำเป็นต่อการใช้งานจริง ๆ
เท่านั้น
- สารสนเทศที่แสดงในฟอร์ม และรายงานตรงกับงานที่จะนำไปใช้
3. มีการจัดวางองค์ประกอบที่สมดุล (Balance the Layout)
- จัดวางสารสนเทศบนกระดาษและหน้าจออย่างสมดุล
- มีระยะห่างระหว่างข้อมูล และส่วนต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
- ช่องป้อนข้อมูลต้องระบุหัวเรื่องอย่างชัดเจน
4. ใช้งานง่าย (Design an Easy Navigation System)
- มีสัญลักษณ์ หรือการจัดวางที่ทำให้ผู้ใช้ทราบว่าจะทำงานในส่วนต่อไปต้องทำอย่างไร
- มีข้อความแสดงสถานะการใช้งานปัจจุบันของผู้ใช้ เช่นบอกว่าอยู่ที่หน้าไหน จากจำนวนกี่
หน้า
2.1.2 กระบวนการออกแบบฟอร์มและรายงาน
2.1.2.1 เก็บรวบรวมการใช้งานแบบฟอร์มและรายงาน โดยข้อมูลเหล่านี้นักวิเคราะห์ระบบอาจจะดำเนินการพร้อมกับการรวบรวมข้อมูลในขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบก็ได้ ซึ่งจะเกิดผลดีคือ ทำให้การออกแบบในขั้นตอนนี้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยการรวบรวมนั้นอาจจะอาศัยคำถามเพื่อนำไปกำหนดรูปแบบของแบบฟอร์มและรายงานได้โดยตัวอย่างของคำถามมีดังนี้
- ใครเป็นผู้ใช้แบบฟอร์มและรายงานประเภทใด
- วัตถุประสงค์ในการใช้แบบฟอร์มและรายงานแต่ละประเภท
- แบบฟอร์มและรายงานนั้นจะถูกนำไปใช้เมื่อใด ที่ใด และส่งต่อไปยังฝ่ายใด
- ผู้ใช้ที่ต้องการแบบฟอร์มและรายงานมีจำนวนเท่าใด
2.1.2.2 ร่างแบบของแบบฟอร์มและรายงาน นักวิเคราะห์ระบบจะต้องนำข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนแรกมาร่างรูปแบบของแบบฟอร์มและรายงาน ก่อนที่จะนำมาสร้างเป็นต้นแบบ (Prototype) เพื่อสอบถามผู้ใช้ระบบว่าถูกต้องหรือไม่ หรือต้องการแก้ไขส่วนใดเพิ่มเติมหรือไม่ จนกว่าผู้ใช้ระบบจะพอใจกับต้นแบบนั้น
2.1.2.3 สร้างต้นแบบ นำแบบร่างที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายมาสร้างเป็นต้นแบบด้วย CASE Tool หรือเครื่อมือชนิดอื่น ๆ
2.2 การออกแบบส่วนประสานงานกับผู้ใช้ (User Interface)
2.2.1 ขั้นตอนการออกแบบ User Interface
- นิยามวัตถุและตัวดำเนินการ โดยใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์
- กำหนดเหตุการณ์ที่เป็นการกระทำของผู้ใช้
- แสดงด้วยรูปถึงสถานะของส่วนต่อประสานที่ผู้ใช้จะได้สัมผัส
- อธิบายให้ทราบความหมายของข้อมูลที่แสดง ระบุว่าผู้ใช้จะเข้าใจสถานะของระบบอย่างไร
2.2.2 เรื่องที่ต้องพิจารณาในการออกแบบ User Interface
2.2.2.1 การออกแบบการจัดวาง (Layouts) ขององค์ประกอบบนหน้าจอ
- การออกแบบหน้าจอของฟอร์มหรือรายงานต่างๆ ควรจะจัดวางรูปแบบให้เหมือนกับเอกสารมากที่สุด
- การป้อนข้อมูลในแต่ละรายการหรือแต่ละฟิลด์ ต้องจัดลำดับการป้อนข้อมูลในแต่ละฟิลด์ให้คล้ายกับการกรอกบนเอกสารจริง
- เริ่มกรอกจากซ้ายไปขวา และจากบนลงล่าง
- ควรมีความยืดหยุ่นและสอดคล้องในการทำงาน สามารถย้าย cursor ไปมาฟิลด์ที่ระหว่างต้องการแก้ไข
2.2.2.2 การออกแบบโครงสร้างของการป้อนข้อมูล (Structure Data Entry)
การออกแบบโครงสร้างการป้อนข้อมูล คือ การออกแบบเพื่อกำหนดรูปแบบ
หรือลักษณะของการป้อนข้อมูล เพื่อเตรียมความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการป้อน หรือป้องกันการป้อนข้อมูลผิดพลาด เช่น การกำหนดค่าเริ่มต้น (Default) การจัดรูปแบบข้อมูล เป็นต้น
หลักในการออกแบบโครงสร้างการป้อนข้อมูล
- ควรให้ผู้ใช้ป้อนข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้น ถ้ามีข้อมูลใดที่ระบบสามารถสร้างเองได้ หรือมีจัดเก็บไว้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใช้ป้อน เช่น ชื่อจังหวัดในประเทศ หรือ ชื่อเดือน เป็นต้น
- ควรกำหนดค่าเริ่มต้น (Default Value) ของข้อมูลในกรณีที่สามารถกำหนดค่าเริ่มให้ได้ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้ เช่น วันที่ หรือหมายเลข Running Number เป็นต้น
- ควรระบุหน่วยของข้อมูล (Unit) ให้ชัดเจน เช่น บาท ดอลลาร์ กิโลกรัม เป็นต้น
- ควรใส่คำอธิบายช่องป้อนข้อมูล(Caption) เพื่อแสดงคำอธิบายฟิลด์ว่าต้องการให้ผู้ใช้ใส่ข้อมูลอะไร
- ควรกำหนดรูปแบบของข้อมูลให้ชัดเจน โดยอาจแสดงเป็นตัวอย่างให้ผู้ใช้ทราบ
- ควรออกแบบให้มีการจัดวางข้อมูล (Justify) โดยอัตโนมัติ เช่นตัวเลขชิดขวา ข้อความชิดซ้าย เป็นต้น
- ควรมีส่วนช่วยเหลือ (Help) เพื่อช่วยอธิบายในระหว่างการใช้งาน
2.2.2.3 การควบคุมความถูกต้องในการป้อนข้อมูล (Controlling Data Input)
- ตรวจสอบชนิดของข้อมูล (data type) ว่าตรงกับระบุไว้หรือไม่
- ตรวจสอบรูปแบบ (Format) ของข้อมูลว่าตรงกับที่กำหนดหรือไม่
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Correctness) ที่ป้อน เช่น Checking Digit
- ตรวจสอบความสมบูรณ์ (Completeness) ของข้อมูลที่ป้อนในแต่ละฟิลด์
- ตรวจสอบว่าข้อมูลที่ป้อนอยู่ในช่วง (Range) ที่กำหนดไว้หรือไม่
- ตรวจสอบว่ามีข้อมูลส่วนใดยังไม่ได้ป้อนหรือไม่
2.2.2.4 ข้อความตอบสนอง (Feedback Message)
- แจ้งสถานะการทำงาน (Status Information)
- แสดงความพร้อมในการรับคำสั่ง (Prompting Cues)
- ข้อความแจ้งหรือเตือนเมื่อมีข้อผิดพลาด (Error/Warning Messages)
2.2.2.5 การแสดงส่วนช่วยเหลือ (Help)
- แจ้งสถานะการทำงาน (Status Information)
- แสดงความพร้อมในการรับคำสั่ง (Prompting Cues)
- ข้อความแจ้งหรือเตือนเมื่อมีข้อผิดพลาด (Error/Warning Messages)
2.2.2.6 การออกแบบการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ (Access Control)
- จำกัดความสามารถในการมองเห็นข้อมูลจากฐานข้อมูล (View/Subschema)
- กำหนดสิทธิในการเข้าถึงและปรับปรุงข้อมูล (Authorization Rules)
- การเข้ารหัส (Encryption Procedures)
- การตรวจสอบผู้มีสิทธิเข้าใช้ระบบ (Authentication schemas)
2.2.27 การออกแบบลำดับการเชื่อมโยงจอภาพ (Dialogue Design)
3. การแสดงผลด้วยกราฟและตารางแตกต่างกันอย่างไร
- การแสดงผลด้วยตาราง เลือกใช้ตารางเมื่อ
- กรณีที่ข้อมูลหรือสารสนเทศนั้นเป็นตัวเลข ควรแสดงผลในรูปของตาราง จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถอ่านข้อมูลได้ง่ายขึ้น
- ต้องการแสดงผลตัวเลขเป็นรายการอย่างชัดเจน
- การแสดงผลด้วยกราฟ เลือกใช้กราฟเมื่อ
- กรณีหากแสดงผลด้วยกราฟจะช่วยให้ผู้ใช้เปรียบเทียบข้อมูลได้รวดเร็ว และเห็นการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลได้ง่าย แต่ควรเลือกชนิดของกราฟ เช่น กราฟแท่ง, กราฟเส้น, กราฟวงกลม ให้เหมาะสมกับข้อมูลด้วย มิฉะนั้นอาจทำให้ตีความหมายของข้อมูลผิดพลาดได้
- สรุปผลข้อมูลตัวเลขนั้น
- แสดงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลตัวเลขนั้น
- เปรียบเทียบข้อมูลตัวเลขที่มีค่าแตกต่างกัน
- ใช้แสดงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเพื่อการพยากรณ์ค่าตัวเลขในอนาคต
4. Dialogues Diagram คืออะไร มีปะโยชน์อย่างไร
Dialogues Diagram หมายถึง แผนภาพแสดงลำดับการเชื่อมโยงของจอภาพซึ่งจะทำให้ทราบว่า
จอภาพหนึ่งจะเชื่อมโยงไปยังจอภาพใดต่อไป
สัญลักษณ์ของ Dialogues Diagram
TOP
เลขลำดับหน้าจอ
MIDDLE
ชื่อหน้าจอการทำงาน
BOTTOM
เลขลำดับหน้าจอที่อ้างอิงมาเลขลำดับหน้าจอต่อไปหรือย้อนกลับ
Top : ใช้แสดงหมายเลขลำดับเพื่อการอ้างอิงจากหน้าจออื่น
Middle : ใช้แสดงชื่อหน้าจอการทำงานหรือข้อความแสดงรายละเอียดการทำงาน
Bottom : ใช้แสดงหมายเลขของหน้าจอที่อ้างอิงมา คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค , ตามด้วยหมายเลข
หน้าจอต่อไป/ย้อนกลับ เมื่อเสร็จสิ้นการทำงานแล้ว
1. การโต้ตอบกับผู้ใช้มีรูปแบบใดบ้าง อธิบาย
การออกแบบส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) เป็นการออกแบบจอภาพเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถ
โต้ตอบกับระบบได้ตามความต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนนำเสนอสารสนเทศกลับมายังผู้ใช้ เรียกอีกอย่างว่า การออกแบบจอภาพ (Screen Design) การออกแบบส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) นิยมใช้แบบกราฟิก (Graphic User Interface :GUI) มีรูปแบบดังนี้ คือ
1.1 การโต้ตอบด้วยคำสั่ง (Command Language Interaction)
- เป็นการโต้ตอบกับระบบโดยที่ผู้ใช้จะต้องพิมพ์คำสั่งลงในช่องป้อนคำสั่ง เพื่อกระตุ้นให้เกิด
การทำงานในระบบ
- ผู้ใช้จะต้องจำคำสั่ง ไวยากรณ์ และกฎเกณฑ์ต่างๆ เช่น ผู้ใช้ที่ชำนาญการใช้ระบบปฏิบัติการ DOS
- ลดความนิยมในปัจจุบัน
1.2 การโต้ตอบด้วยเมนูคำสั่ง (Menu Interaction) เป็นการโต้ตอบกับระบบด้วยการแสดงเมนูคำสั่ง โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องป้อนคำสั่งเองรูปแบบเมนูมีดังนี้ คือ
1.2.1 Pull-down Menu เมนูแสดงคำสั่ง โดยแบ่งรายการของคำสั่งเป็นหมวดหมู่ เมื่อผู้ใช้
คลิกจะแสดงรายการคำสั่งจากบนลงล่าง
1.2.2 Pop-up Menu เมนูแสดงคำสั่ง เมื่อผู้ใช้คลิกเลือกวัตถุ หรือ object ใด ๆ ในจอภาพ
คำสั่งหรือคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับ object นั้นจะถูกแสดงออกมา
1.2 การโต้ตอบด้วยแบบฟอร์ม (Form Interaction)
- เป็นการโต้ตอบที่ผู้ใช้ระบบจะต้องป้อนข้อมูลลงในช่องว่างที่อยู่ในแบบฟอร์มที่แสดงหน้า
จอคอมพิวเตอร์
- คล้ายการกรอกแบบฟอร์มลงในกระดาษ
- ชื่อของช่องป้อนข้อมูลต้องสื่อความหมาย
- แบ่งส่วนของข้อมูลบนฟอร์มให้เหมาะสม
- ควรแสดงข้อมูลเริ่มต้นให้กับช่องป้อนข้อมูลที่ต้องใช้ข้อมูลนั้นบ่อยครั้ง
- ช่องป้อนข้อมูลไม่ควรยาวมากจนเกินไป
ลักษณะของแบบฟอร์มที่ดี
- ควรจะมีชื่อของช่องป้อนข้อมูลที่สื่อความหมายชัดเจน
- มีการแบ่งส่วนของข้อมูลบนแบบฟอร์ม
- ควรแสดงค่าข้อมูลเริ่มต้นให้กับช่องป้อนข้อมูลที่ต้องใช้ข้อมูลนั้นบ่อยครั้ง
- ช่องป้อนข้อมูลของแบบฟอร์มไม่ควรมีความยาวมากเกินไป
1.4 การโต้ตอบด้วยการทำงานเชิงวัตถุ (Object-Based Interaction)
- เป็นการโต้ตอบกับระบบที่ใช้สัญลักษณ์
- สัญลักษณ์เป็นตัวแทนคำสั่งที่ใช้ในการปฏิบัติงาน
- สัญลักษณ์รูปภาพแทนคำสั่งการทำงานเรียกว่า ไอคอน (Icon)
- ข้อดีคือ ประหยัดพื้นที่บนหน้าจอเนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นรูปภาพที่มีขนาดเล็ก
1.5 การโต้ตอบด้วยภาษามนุษย์ (Natural Language Interaction)
- เป็นการโต้ตอบกับระบบด้วยภาษามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นประโยคภาษาพูดหรือเขียน
- อยู่บนพื้นฐานของการประมวลผลภาษาธรรมชาติ
- เป็นเทคโนโลยีสำหรับอนาคต
รูปแบบการโต้ตอบ
ข้อดี
ข้อเสีย
การโต้ตอบกับระบบ
โดยตรง
รวดเร็วและสื่อความหมายได้ชัดเจน
ง่ายต่อการเรียนรู้
ยากต่อการพัฒนา
การเลือกเมนูคำสั่ง
ช่วยลดข้อผิดพลาดในการใช้งานของ
ผู้ใช้ได้ เนื่องจากผู้ใช้ไม่ต้องพิมพ์
คำสั่งเอง
ใช้งานได้ช้ากว่าการพิมพ์คำสั่งสำหรับผู้ใช้
ที่เชี่ยวชาญ และหากมีเมนูจำนวนมากจะทำ
ให้ดูซับซ้อน
การป้อนข้อมูลลงใน
ฟอร์ม
ป้อนข้อมูลได้ง่าย
ต้องใช้พื้นที่ในหน้าจอ และเสี่ยงต่อการเกิด
ข้อผิดพลาด หากผู้ใช้ป้อนข้อมูลผิด
การโต้ตอบด้วย
ภาษาธรรมชาติ
ง่ายต่อการใช้งานสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
ต้องอาศัยกลไกแปลภาษาที่มีประสิทธิภาพ
สูงและต้องเพิ่มจำนวนคำและประโยค
ให้กับตัวแปลภาษาจำนวนมาก
2. อธิบายขั้นตอน การออกแบบ ฟอร์ม/รายงาน และ ส่วนประสานงานกับผู้ใช้
2.1 การออกแบบฟอร์มและรายงาน
ในระบบงานใด ๆ เมื่อมีการดำเนินงานจะมีข้อมูลที่เข้าสู่ระบบ (Input) เพื่อประมวลผล และทำให้ได้ข้อมูลออกจากระบบ (Output) โดยการทำงานภายในของระบบเองก็จะมีข้อมูลที่เข้าสู่แต่ละ Process เพื่อประมวลผลให้ได้เป็นข้อมูลออกจาก Process นั้นไปยัง Process อื่น ข้อมูลที่เข้าและออกจากระบบหรือข้อมูลภายในระบบ จะอยู่ในรูปของแบบฟอร์มและรายงาน (Forms/Report) ต่าง ๆ ดังนั้นหน้าที่ของนักวิเคราะห์ระบบในกิจกรรมนี้คือ จะต้องออกแบบหรือสร้างตัวต้นแบบ (Prototypes) ของแบบฟอร์มและรายงานที่เกิดขึ้นในระบบที่กำลังพัฒนา เพื่อนำเสนอต่อผู้ใช้งานและผู้บริหารเพื่อเป็นการยืนยันความถูกต้องของการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการระบบใหม่
การที่จะทราบได้ว่าระบบงานที่กำลังพัฒนามีแบบฟอร์มหรือรายงานใดบ้าง นักวิเคราะห์ระบบสามารถตรวจสอบได้จาก DFD โดยจะพบแบบฟอร์มได้จาก Input Data Flows ที่วิ่งเข้าสู่แต่ละ Process ส่วน Output Data Flows ที่วิ่งออกจาก Process นั้นจะทำให้ทราบว่ามีรายงานอะไรบ้าง
สำหรับ E-R Diagram จะทำให้นักวิเคราะห์ระบบทราบได้ว่าภายในแบบฟอร์มและรายงานเหล่านั้นจะต้องประกอบไปด้วยข้อมูลย่อย (Data Element) อะไรบ้าง โดยสังเกตจาก Attribute ที่ปรากฏอยู่กับ Entites ที่เกี่ยวข้องกับแบบฟอร์มและรายงานใด ๆ
2.1.1 หลักในการออกแบบ แบบฟอร์ม และรายงาน
1. ชื่อหัวเรื่องมีความหมายชัดเจน (Meaningful Titles)
- เข้าใจง่าย สื่อความหมายถึงเนื้อหาในแบบฟอร์มและรายงานที่ชัดเจน
- แสดงวันที่จัดทำรายงานที่ถูกต้อง
2. แสดงสารสนเทศที่จำเป็นต่อการใช้งาน (Meaningful Information)
- สารสนเทศที่อยู่ในแบบฟอร์ม และรายงานต้องเป็นสารสนเทศที่จำเป็นต่อการใช้งานจริง ๆ
เท่านั้น
- สารสนเทศที่แสดงในฟอร์ม และรายงานตรงกับงานที่จะนำไปใช้
3. มีการจัดวางองค์ประกอบที่สมดุล (Balance the Layout)
- จัดวางสารสนเทศบนกระดาษและหน้าจออย่างสมดุล
- มีระยะห่างระหว่างข้อมูล และส่วนต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
- ช่องป้อนข้อมูลต้องระบุหัวเรื่องอย่างชัดเจน
4. ใช้งานง่าย (Design an Easy Navigation System)
- มีสัญลักษณ์ หรือการจัดวางที่ทำให้ผู้ใช้ทราบว่าจะทำงานในส่วนต่อไปต้องทำอย่างไร
- มีข้อความแสดงสถานะการใช้งานปัจจุบันของผู้ใช้ เช่นบอกว่าอยู่ที่หน้าไหน จากจำนวนกี่
หน้า
2.1.2 กระบวนการออกแบบฟอร์มและรายงาน
2.1.2.1 เก็บรวบรวมการใช้งานแบบฟอร์มและรายงาน โดยข้อมูลเหล่านี้นักวิเคราะห์ระบบอาจจะดำเนินการพร้อมกับการรวบรวมข้อมูลในขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบก็ได้ ซึ่งจะเกิดผลดีคือ ทำให้การออกแบบในขั้นตอนนี้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยการรวบรวมนั้นอาจจะอาศัยคำถามเพื่อนำไปกำหนดรูปแบบของแบบฟอร์มและรายงานได้โดยตัวอย่างของคำถามมีดังนี้
- ใครเป็นผู้ใช้แบบฟอร์มและรายงานประเภทใด
- วัตถุประสงค์ในการใช้แบบฟอร์มและรายงานแต่ละประเภท
- แบบฟอร์มและรายงานนั้นจะถูกนำไปใช้เมื่อใด ที่ใด และส่งต่อไปยังฝ่ายใด
- ผู้ใช้ที่ต้องการแบบฟอร์มและรายงานมีจำนวนเท่าใด
2.1.2.2 ร่างแบบของแบบฟอร์มและรายงาน นักวิเคราะห์ระบบจะต้องนำข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนแรกมาร่างรูปแบบของแบบฟอร์มและรายงาน ก่อนที่จะนำมาสร้างเป็นต้นแบบ (Prototype) เพื่อสอบถามผู้ใช้ระบบว่าถูกต้องหรือไม่ หรือต้องการแก้ไขส่วนใดเพิ่มเติมหรือไม่ จนกว่าผู้ใช้ระบบจะพอใจกับต้นแบบนั้น
2.1.2.3 สร้างต้นแบบ นำแบบร่างที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายมาสร้างเป็นต้นแบบด้วย CASE Tool หรือเครื่อมือชนิดอื่น ๆ
2.2 การออกแบบส่วนประสานงานกับผู้ใช้ (User Interface)
2.2.1 ขั้นตอนการออกแบบ User Interface
- นิยามวัตถุและตัวดำเนินการ โดยใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์
- กำหนดเหตุการณ์ที่เป็นการกระทำของผู้ใช้
- แสดงด้วยรูปถึงสถานะของส่วนต่อประสานที่ผู้ใช้จะได้สัมผัส
- อธิบายให้ทราบความหมายของข้อมูลที่แสดง ระบุว่าผู้ใช้จะเข้าใจสถานะของระบบอย่างไร
2.2.2 เรื่องที่ต้องพิจารณาในการออกแบบ User Interface
2.2.2.1 การออกแบบการจัดวาง (Layouts) ขององค์ประกอบบนหน้าจอ
- การออกแบบหน้าจอของฟอร์มหรือรายงานต่างๆ ควรจะจัดวางรูปแบบให้เหมือนกับเอกสารมากที่สุด
- การป้อนข้อมูลในแต่ละรายการหรือแต่ละฟิลด์ ต้องจัดลำดับการป้อนข้อมูลในแต่ละฟิลด์ให้คล้ายกับการกรอกบนเอกสารจริง
- เริ่มกรอกจากซ้ายไปขวา และจากบนลงล่าง
- ควรมีความยืดหยุ่นและสอดคล้องในการทำงาน สามารถย้าย cursor ไปมาฟิลด์ที่ระหว่างต้องการแก้ไข
2.2.2.2 การออกแบบโครงสร้างของการป้อนข้อมูล (Structure Data Entry)
การออกแบบโครงสร้างการป้อนข้อมูล คือ การออกแบบเพื่อกำหนดรูปแบบ
หรือลักษณะของการป้อนข้อมูล เพื่อเตรียมความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการป้อน หรือป้องกันการป้อนข้อมูลผิดพลาด เช่น การกำหนดค่าเริ่มต้น (Default) การจัดรูปแบบข้อมูล เป็นต้น
หลักในการออกแบบโครงสร้างการป้อนข้อมูล
- ควรให้ผู้ใช้ป้อนข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้น ถ้ามีข้อมูลใดที่ระบบสามารถสร้างเองได้ หรือมีจัดเก็บไว้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใช้ป้อน เช่น ชื่อจังหวัดในประเทศ หรือ ชื่อเดือน เป็นต้น
- ควรกำหนดค่าเริ่มต้น (Default Value) ของข้อมูลในกรณีที่สามารถกำหนดค่าเริ่มให้ได้ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้ เช่น วันที่ หรือหมายเลข Running Number เป็นต้น
- ควรระบุหน่วยของข้อมูล (Unit) ให้ชัดเจน เช่น บาท ดอลลาร์ กิโลกรัม เป็นต้น
- ควรใส่คำอธิบายช่องป้อนข้อมูล(Caption) เพื่อแสดงคำอธิบายฟิลด์ว่าต้องการให้ผู้ใช้ใส่ข้อมูลอะไร
- ควรกำหนดรูปแบบของข้อมูลให้ชัดเจน โดยอาจแสดงเป็นตัวอย่างให้ผู้ใช้ทราบ
- ควรออกแบบให้มีการจัดวางข้อมูล (Justify) โดยอัตโนมัติ เช่นตัวเลขชิดขวา ข้อความชิดซ้าย เป็นต้น
- ควรมีส่วนช่วยเหลือ (Help) เพื่อช่วยอธิบายในระหว่างการใช้งาน
2.2.2.3 การควบคุมความถูกต้องในการป้อนข้อมูล (Controlling Data Input)
- ตรวจสอบชนิดของข้อมูล (data type) ว่าตรงกับระบุไว้หรือไม่
- ตรวจสอบรูปแบบ (Format) ของข้อมูลว่าตรงกับที่กำหนดหรือไม่
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Correctness) ที่ป้อน เช่น Checking Digit
- ตรวจสอบความสมบูรณ์ (Completeness) ของข้อมูลที่ป้อนในแต่ละฟิลด์
- ตรวจสอบว่าข้อมูลที่ป้อนอยู่ในช่วง (Range) ที่กำหนดไว้หรือไม่
- ตรวจสอบว่ามีข้อมูลส่วนใดยังไม่ได้ป้อนหรือไม่
2.2.2.4 ข้อความตอบสนอง (Feedback Message)
- แจ้งสถานะการทำงาน (Status Information)
- แสดงความพร้อมในการรับคำสั่ง (Prompting Cues)
- ข้อความแจ้งหรือเตือนเมื่อมีข้อผิดพลาด (Error/Warning Messages)
2.2.2.5 การแสดงส่วนช่วยเหลือ (Help)
- แจ้งสถานะการทำงาน (Status Information)
- แสดงความพร้อมในการรับคำสั่ง (Prompting Cues)
- ข้อความแจ้งหรือเตือนเมื่อมีข้อผิดพลาด (Error/Warning Messages)
2.2.2.6 การออกแบบการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ (Access Control)
- จำกัดความสามารถในการมองเห็นข้อมูลจากฐานข้อมูล (View/Subschema)
- กำหนดสิทธิในการเข้าถึงและปรับปรุงข้อมูล (Authorization Rules)
- การเข้ารหัส (Encryption Procedures)
- การตรวจสอบผู้มีสิทธิเข้าใช้ระบบ (Authentication schemas)
2.2.27 การออกแบบลำดับการเชื่อมโยงจอภาพ (Dialogue Design)
3. การแสดงผลด้วยกราฟและตารางแตกต่างกันอย่างไร
- การแสดงผลด้วยตาราง เลือกใช้ตารางเมื่อ
- กรณีที่ข้อมูลหรือสารสนเทศนั้นเป็นตัวเลข ควรแสดงผลในรูปของตาราง จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถอ่านข้อมูลได้ง่ายขึ้น
- ต้องการแสดงผลตัวเลขเป็นรายการอย่างชัดเจน
- การแสดงผลด้วยกราฟ เลือกใช้กราฟเมื่อ
- กรณีหากแสดงผลด้วยกราฟจะช่วยให้ผู้ใช้เปรียบเทียบข้อมูลได้รวดเร็ว และเห็นการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลได้ง่าย แต่ควรเลือกชนิดของกราฟ เช่น กราฟแท่ง, กราฟเส้น, กราฟวงกลม ให้เหมาะสมกับข้อมูลด้วย มิฉะนั้นอาจทำให้ตีความหมายของข้อมูลผิดพลาดได้
- สรุปผลข้อมูลตัวเลขนั้น
- แสดงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลตัวเลขนั้น
- เปรียบเทียบข้อมูลตัวเลขที่มีค่าแตกต่างกัน
- ใช้แสดงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเพื่อการพยากรณ์ค่าตัวเลขในอนาคต
4. Dialogues Diagram คืออะไร มีปะโยชน์อย่างไร
Dialogues Diagram หมายถึง แผนภาพแสดงลำดับการเชื่อมโยงของจอภาพซึ่งจะทำให้ทราบว่า
จอภาพหนึ่งจะเชื่อมโยงไปยังจอภาพใดต่อไป
สัญลักษณ์ของ Dialogues Diagram
TOP
เลขลำดับหน้าจอ
MIDDLE
ชื่อหน้าจอการทำงาน
BOTTOM
เลขลำดับหน้าจอที่อ้างอิงมาเลขลำดับหน้าจอต่อไปหรือย้อนกลับ
Top : ใช้แสดงหมายเลขลำดับเพื่อการอ้างอิงจากหน้าจออื่น
Middle : ใช้แสดงชื่อหน้าจอการทำงานหรือข้อความแสดงรายละเอียดการทำงาน
Bottom : ใช้แสดงหมายเลขของหน้าจอที่อ้างอิงมา คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค , ตามด้วยหมายเลข
หน้าจอต่อไป/ย้อนกลับ เมื่อเสร็จสิ้นการทำงานแล้ว
Video Coding
การบีบอัดวิดีโอ คือศิลปะในการนำข้อมูลวิดีโอทิ้งไปให้มากที่สุดโดยยังรักษาคุณภาพไว้ได้
การบีบอัด Video ยอมให้มีการสูญเสียได้ (Lossy) ซึ่งภาพออกมาในตอน Decode ไม่เหมือนกับต้นฉบับ ในตอน Encode
โดยใช้วิธีลดความคมชัด จำนวนสี และอัตราการแสดงผล โดยการลดขนาดของภาพเป็นหลัก ซึ่งจะไม่ให้กระทบกับขนาดของภาพดั้งเดิม
เทคโนโลยีที่ทำให้การบีบข้อมูล เรียกว่า CODEC ซึ่งเป็นตัวย่อของ Compression/ Decompression
ปัจจุบันมีการพัฒนา CODEC ใหม่ ๆ หลายชนิดทั้งในรูปของซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ หรือใช้ทั้งสองอย่าง
การนำเทคโนโลยีทางด้านการบีบอัดข้อมูล Video โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อการส่งผ่านข้อมูลชนิดมัลติมีเดียให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งด้านคุณภาพของข้อมูล และอัตราการส่งข้อมูลที่ต่ำกว่า พร้อมทั้งเนื้อที่ในการจัดเก็บที่น้อยลง
§ตัวอย่าง ประชุมทางไกลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
(video conference via Internet)
การบีบอัด Video ยอมให้มีการสูญเสียได้ (Lossy) ซึ่งภาพออกมาในตอน Decode ไม่เหมือนกับต้นฉบับ ในตอน Encode
โดยใช้วิธีลดความคมชัด จำนวนสี และอัตราการแสดงผล โดยการลดขนาดของภาพเป็นหลัก ซึ่งจะไม่ให้กระทบกับขนาดของภาพดั้งเดิม
เทคโนโลยีที่ทำให้การบีบข้อมูล เรียกว่า CODEC ซึ่งเป็นตัวย่อของ Compression/ Decompression
ปัจจุบันมีการพัฒนา CODEC ใหม่ ๆ หลายชนิดทั้งในรูปของซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ หรือใช้ทั้งสองอย่าง
การนำเทคโนโลยีทางด้านการบีบอัดข้อมูล Video โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อการส่งผ่านข้อมูลชนิดมัลติมีเดียให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งด้านคุณภาพของข้อมูล และอัตราการส่งข้อมูลที่ต่ำกว่า พร้อมทั้งเนื้อที่ในการจัดเก็บที่น้อยลง
§ตัวอย่าง ประชุมทางไกลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
(video conference via Internet)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)